สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๑๓
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๑๓
ผู้ฟัง ในเวลากมลฟังเทปของท่านอาจารย์ กมลทำอะไรไม่ได้ต้องฟังอย่างเดียว คนอื่นเขาเปิด เขาฟัง ไปทำโน้น ทำนี้ กมลต้องตั้งใจนั่งฟัง ถ้าเกิดไปทำอะไร มันลืมไปเลย แล้วทำไมคนอื่นเขาฟังได้ แล้วทำไปด้วย
ท่านอาจารย์ อัธยาศัยของการสะสมไม่เหมือนกัน แต่ถึงอย่างไรก็ตามแม้ในขณะนี้ก็ต้องมีความตั้งใจที่จะฟัง ถึงจะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น ถ้าในโอกาสที่เรามีความตั้งใจที่จะฟังจริงๆ อย่างบางทีคนพูดด้วยก็ไม่อยากให้เขามาพูดด้วย เพราะเรากำลังฟังอยู่ ขณะนั้นเราก็จะรู้ได้ว่า ทำให้เราพลาดโอกาสที่จะเข้าใจเมื่อมีสิ่งอื่นที่มาขัดขวาง เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว ความตั้งใจสำคัญมากในการฟังธรรม เงี่ยโสตลงสดับ ในพระไตรปิฎก แล้วมีคำอุปมา ซึ่งเราก็คงจะไม่ชินที่ว่า ยอดน้ำมันราชสีห์ เราก็ไม่รู้จัก แต่พออุปมาอันนี้มาถึง ยอดน้ำมันราชสีห์ลงในหลอดแก้วเล็กๆ หมายความว่าต้องมีการระมัดระวัง ตั้งใจจริงๆ ถึงจะกระทำได้สำเร็จ การฟังธรรมก็เหมือนกัน เพราะว่าธรรมไม่ใช่เรื่องที่เราฟังสนุกๆ แต่เป็นเรื่องที่ฟังในขณะนี้ สภาพเจตสิกทั้งหลาย ทั้งศรัทธา ทั้ง หิริ ทั้งโอตตัปปะ ทั้งสติ พวกนี้ เกิดขึ้นพร้อมกับกุศลจิต แล้วก็ทำกิจของสภาพธรรม นั้นๆ ก็เป็นการที่ว่า กว่ากุศลแต่ละขณะจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยโสภณเจตสิกมาก แล้วก็เรื่องของธรรม เรื่องของการฟัง ไม่ใช่กุศลระดับทาน ระดับทานจะทำอย่างไรก็ได้ ไม่ประกอบด้วยปัญญาก็ได้ ถึงศีล การวิรัติทุจริต ก็ไม่ต้องประกอบด้วยปัญญา แต่การฟังธรรม ต้องใช้ หรือว่าต้องมีการไตร่ตรอง การพิจาณาในขณะที่ฟัง จึงเข้าใจได้
เพราะฉะนั้น ก็ดี ถ้าเรารู้สึกตัวว่าเรากำลังตั้งใจฟังเพื่อเข้าใจ เราจะเข้าใจได้เต็มที่ แต่ถ้าเรามีภารกิจอื่นที่จะทำ ภารกิจนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่า สำคัญมากน้อยแค่ไหน หรือเราจะต้องไปสนใจในสิ่งนั้นมากมาย หรือว่าไม่มากมาย เป็นสิ่งที่เราเคยชิน ทำไปด้วยฟังไปด้วยก็อาจจะได้ ก็เป็นการสะสมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งต่อไปเมื่อได้เข้าใจแล้ว เราก็จะไม่ทำอะไรไปเฉยๆ แต่ทำไปแล้วก็เปิดไปด้วยก็ได้ ฟังไปด้วยก็ได้ เพิ่มขึ้น
ผู้ฟัง มีปัญหาว่า บางทีก็ตั้งใจฟัง แต่ฟังไปฟังมา ถึงแม้เราตั้งใจฟัง จิตก็ลอยไปคิดถึงเรื่องอื่น ก็ลืมฟังไป
ท่านอาจารย์ วันนี้ก็ได้ยินเรื่องราวของอนัตตา ตามการสะสมว่า บังคับบัญชาไม่ได้เลย จริงๆ แล้วลองคิดดู อะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้าเพียงนิดเดียว เราก็ไม่รู้ ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย แม้แต่ที่เรากำลังเห็น ก่อนเห็นจะเกิด เราก็ไม่รู้ว่า จะเห็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ ถ้าเกิดมีใครผงเข้าตานิดหนึ่ง ตาบอดไป เห็นก็ไม่มีแล้ว
เพราะฉะนั้น ทุกขณะข้างหน้ามืดสนิท ไม่มีใครมีญาณที่จะหยั่งรู้ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ก็มีเหตุปัจจัยที่จะเกิด จึงเกิดตามเหตุตามปัจจัย จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะสุข จะทุกข์ฉันใด ระดับใดก็ตามแต่ ก็คงมีเรื่องของคุณยุ ซึ่งก็เห็นได้ชัดเจนว่าสิ่งที่เกิดอะไรจะเกิด รู้ล่วงหน้าไม่ได้ แต่เมื่อเกิดแล้วเมื่อไรเมื่อนั้นก็รู้
เพราะฉะนั้น ขณะนี้ทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีจริง เกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมาที่จะเป็นอย่างนี้ทุกขณะ แสดงความเป็นอนัตตายิ่งขึ้น บังคับบัญชาไม่ได้