สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๑๖


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๑๖


    ผู้ฟัง ผมเคยแนะนำลูกหลานว่า ให้พยายามเอาใจใส่ปฏิบัติวิปัสสนา เครื่องให้พ้นจากกิเลส ดีกว่าปฏิบัติสมถะ มันสมควรไหม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง แต่ก็ต้องเข้าใจว่าวิปัสสนาคืออะไร ถ้าบอกลูกหลานให้สนใจเจริญวิปัสสนา ลูกหลานก็จะถามว่า วิปัสสนาคืออะไรก่อน

    เพราะฉะนั้น วิปัสสนาก็คือความรู้แจ้ง เห็นจริง หรือที่ใช้ว่า ปัญญา รู้ เห็นสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง ต้องมีความเข้าใจถูกตามลำดับ มิฉะนั้นวิปัสสนาก็จะเป็นชื่อ แล้วถึงแม้ว่า จะรู้ว่า เป็นปัญญาที่สามารถเข้าใจเห็นถูกต้องสภาพธรรมในขณะนี้ ก็ยังไม่รู้ว่า สภาพธรรมในขณะนี้เป็นอะไร

    เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นก็ต้องมีความเข้าใจอย่างมั่นคงในเรื่องสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ว่า เป็นธรรม นี่สำคัญที่สุด เป็นธรรมก็คือว่าไม่ใช่เรา ไม่สามารถจะบังคับบัญชาได้ ทุกอย่างที่มีจริงเกิดขึ้นจึงปรากฏว่ามี เมื่อดับไปแล้วก็ไม่มี

    เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ตามที่มีจริง ก็คือจริงเมื่อปรากฏเพราะเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป

    ผู้ฟัง อันนี้ผมเข้าใจ แต่ผมแนะนำเขาไปแนวนี้ แนะนำเข้าหาพระธรรมเป็นที่พึ่ง คือปริยัติธรรม เมื่อเรียนแล้วให้เข้าใจ ถ้าไม่เรียนแล้ว ไม่เข้าใจ เรียนให้เข้าใจแล้วปฏิบัติ อันนี้มันถูกต้องไหม

    ท่านอาจารย์ ก็คงจะต้องเข้าใจความหมายของทุกคำที่เราใช้ ปฏิปัตติ คำนี้เป็นภาษาบาลี ปฏิ แปลว่า เฉพาะ ปัตติ แปลว่าถึง ถ้าแปลเป็นภาษาไทยว่า ถึงเฉพาะ ถ้าไม่ได้ศึกษาธรรมจนกระทั่งเข้าใจ ก็ไม่ทราบว่าถึงอะไร เฉพาะอะไร ขณะนี้มีสภาพธรรมทางตากำลังเห็น เป็นธรรมอย่างหนึ่ง สภาพธรรมทางหูที่ได้ยิน ก็มีจริงๆ อย่างหนึ่ง

    เพราะฉะนั้น อะไรจะถึง ไม่ใช่ตัวเราพยายามไปถึง แต่ต้องเป็นลักษณะของสติสัมปชัญญะที่กำลังถึงลักษณะ คือ ไม่คิดเรื่องของสิ่งที่มีจริงเป็นคำ เป็นเรื่องราว แต่ว่าอาศัยการที่ฟังเรื่องราวของสภาพธรรมมานาน ก็มีการที่จะเข้าใจว่า ขณะนี้เป็นสภาพธรรมที่สติถึง เมื่อมีการระลึกได้ก็รู้เฉพาะลักษณะของสภาพธรรมทีละอย่าง เป็นการศึกษาสภาพธรรมตัวจริง ไม่ใช่แต่เรื่องราวของสภาพธรรม เพราะเหตุว่าขณะนี้ที่เราพูดถึงสภาพธรรม ขณะนี้ก็มี ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย พูดถึงสภาพธรรมขณะไหนก็เตือนให้รู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรมแต่ละอย่างๆ

    เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ว่าเป็นสภาพธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ก็ต่อเมื่อมีสติอีกระดับหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่เข้าใจเรื่องราวของสภาพธรรม แต่กำลังระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ถึงลักษณะนั้นทีละอย่าง แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกว่าจะเป็นความรู้ชัดเมื่อไร ก็เป็นวิปัสสนาเมื่อนั้น

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่มีใครสามารถที่จะทำให้มีการรู้ชัดหรือวิปัสสนาเกิดขึ้น โดยที่ไม่ได้อบรม แต่ต้องมีการอบรมตั้งแต่ขั้นฟังเข้าใจ แล้วก็รู้ลักษณะที่ต่างกันของขณะที่สติเกิดกับขณะที่หลงลืมสติ เพราะว่าในพระไตรปิฎกจะแสดงถึงชีวิตประจำวันว่า ทั่วไปโดยมากก็เป็นขณะที่หลงลืมสติ ฟังเรื่องธรรมจริง ธรรมกำลังเกิดดับจริง แต่ไม่ได้ระลึกที่ลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด ไม่ถึงเฉพาะลักษณะนั้นที่กำลังปรากฏเฉพาะหน้า เพียงแต่ว่ากำลังฟังเรื่องราวของสภาพธรรมนั้น จนกว่าเมื่อฟัง กำลังฟังในขณะนี้ หรือขณะไหนก็ตามที่เป็นปกติ แล้วสติเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏเฉพาะหน้า คือ ขณะนั้นจริงๆ แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจลักษณะที่เป็นนามธรรม และรูปธรรมเพิ่มขึ้น จึงรู้ว่าขณะนั้นเป็นธรรม ไม่ใช่เรา

    ก็เป็นเรื่องที่จะต้องอบรมที่ยาวนานมาก ถ้ามีแต่ปริยัติธรรม โดยที่สติสัมปชัญญะไม่ระลึก ไม่รู้ลักษณะเฉพาะอย่างๆ ที่กำลังมีในขณะนี้ ก็เป็นเพียงความเข้าใจเรื่องราวของสภาพธรรม แต่ยังไม่ถึงตัวจริง คือ ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ยังไม่ถึงภาวะจริงๆ ของสภาพธรรมนั้น ถ้าสติสัมปชัญญะไม่ระลึกที่ลักษณะนั้น เพราะฉะนั้น จึงมีปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติก็เป็นเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดปฏิบัติ แล้วเมื่อปฏิบัติแล้วก็เป็นเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดปฏิเวธ คือ การประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมนั้น

    ผู้ฟัง ผมแนะนำให้เราเรียนให้เข้าใจ เห็นผู้อื่นปฏิบัติอย่างไรแล้ว ปฏิบัติตามเขา เท่าที่ตัวเองไม่เข้าใจนี้ อยากให้เรียนเข้าไปให้เข้าใจ อย่าปฏิบัติไปตามเขา เขาเข้าใจเขาปฏิบัติ เราไม่เข้าใจ อย่าปฏิบัติตามเขา ปฏิบัติตามความเข้าใจของเรา แต่เราเห็นแจ้งในสภาวธรรม อย่างนี้ถูกต้องไหมครับ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ประโยชน์ของการฟังก็คือเกิดปัญญา ความเข้าใจของเราเอง ถ้ามิฉะนั้นก็เป็นปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงพระธรรม แต่ถ้าไม่ใช่ปัญญาของเราเอง ก็ยังไม่ได้ประโยชน์จากการศึกษา


    หมายเลข 9409
    20 ส.ค. 2567