สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๒๑
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๒๑
ปัญญาเป็นเราหรือเปล่า ไม่เป็น เป็นรูปขันธ์หรือเปล่า ไม่ใช่ เป็นเวทนาขันธ์หรือเปล่า เป็นสัญญาขันธ์หรือเปล่า เป็นสังขารขันธ์หรือเปล่า ใช่ เป็นวิญญาณขันธ์หรือเปล่า ไม่ใช่
นี่ค่ะเราตอบได้ ตามความเข้าใจ แต่ว่าตัวจริงๆ ก็คือว่าต้องรู้ว่า ปัญญาก็เป็นสังขารขันธ์ หลงลืมสติ สติไม่เกิด เป็นสังขารขันธ์หรือเปล่า เป็นรูปขันธ์หรือเปล่า ขณะที่หลงลืมสติเป็นรูปขันธ์หรือเปล่า เป็นนามธรรม เพราะฉะนั้น ต้องเป็นนามขันธ์หนึ่งนามขันธ์ใดใน ๔ นามขันธ์ เพราะว่านามขันธ์ ๔ เป็นจิต ๑ คือ วิญญาณขันธ์ แล้วก็เป็นเจตสิก ๓ คือ เวทนาเจตสิกเป็นเวทนาขันธ์ สัญญาเจตสิกเป็นสัญญาขันธ์ เจตสิกที่เหลือทั้งหมดเป็นสังขารขันธ์
เพราะฉะนั้น ขณะที่หลงลืมสติเป็นสังขารขันธ์หรือเปล่า ก็ต้องเป็น เห็นไหมคะ แม้แต่ในการฟัง เรายังต้องคิด เรายังต้องพิจารณาว่า นามธรรม คือ จิต เจตสิก มีเจตสิก๕๒ ขณะที่หลงลืมสติ ก็ต้องเป็นเจตสิกใน ๕๒ ด้วย เพราะว่าเราไม่ได้พูดถึงเวทนา เราไม่ได้พูดถึงสัญญา แต่เราพูดถึงขณะที่หลงลืมสติ ถามว่าเป็นสังขารขันธ์ไหม ขณะที่หลงลืมสติ เป็นสังขารขันธ์หรือเปล่า เป็น เวลาที่สติเกิด เป็นสังขารขันธ์หรือเปล่า เป็น แล้วสติเป็นเวทนาขันธ์หรือเปล่า สติเจตสิก ๑ เวทนาเจตสิก ๑ ต่างกัน คือ เวทนาเจตสิกเป็นกุศลก็ได้ เป็นอกุศลก็ได้ แม้แต่โสมนัส เกิดโลภะ ความยินดีด้วยโสมนัสก็ได้ หรือขณะที่ฟังธรรม แล้วเกิดปีติยินดี ก็เป็นโสมนัสที่เป็นกุศล
เพราะฉะนั้น ความรู้สึก เวทนาเจตสิกเกิดกับจิตทุกขณะ จึงเป็นเวทนาขันธ์ เวทนา ความรู้สึก เป็นสังขารขันธ์หรือเปล่า ปรมัตถธรรม มี ๔ คือ จิต เจตสิก รูป รูปทุกรูปเป็นรูปขันธ์ รูปจะเป็นนามธรรมไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ตัดรูปออกไป และจิตทุกประเภท ทุกขณะ เป็นวิญญาณขันธ์ ๒ ขันธ์หมดไปแล้ว ก็เหลือ ๓ ขันธ์ คือเวทนาขันธ์ ๑ สัญญาขันธ์ ๑ สังขารขันธ์ ๑ ทั้ง ๓ ไม่ใช่รูป ไม่ใช่จิต ต้องเป็นเจตสิก
เจตสิกทั้งหมดมี ๕๒ ประเภท เวทนาเจตสิกเป็นเจตสิกชนิดหนึ่ง เป็นสภาพความรู้สึก ซึ่งมีความสำคัญมาก ทุกคนต้องการสุขเวทนา ปรารถนาสุขเวทนา แสวงหาทุกอย่างเพื่อสุขเวทนา เท่านั้นเอง เพื่อสภาพธรรมชนิดนี้จะได้รู้สึกมีความโสมนัส มีความยินดีที่ได้รูป ได้เสียง ได้กลิ่น ได้รส ได้ทุกอย่างที่ต้องการเพื่อเวทนาเจตสิก เท่านั้นเอง
เริ่มเห็นไหมคะว่า เวทนามีความสำคัญมาก เพราะทุกคนอยู่ในโลกไม่ต้องการความรู้สึกที่เป็นทุกข์หรือโทมนัสเลย ไม่ชอบเวทนานี้ แต่ชอบโสมนัสเวทนา หรือสุขเวทนา เพราะฉะนั้น เวทนาที่มีความสำคัญยิ่ง จึงเป็นขันธ์ ๑ แยกจากเจตสิก ๕๒ มาเป็น ๑ ขันธ์ คือ เวทนาขันธ์ เพราะความสำคัญ แล้วของเรา ความสุขของเราอาศัยอะไรเกิดขึ้น เรามีความสุขในอะไร ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ความต้องการของเราทุกวันไม่พ้นจากรูป ตื่นขึ้นมารูปทางตาต้องดี จะหวีผม จะผัดหน้า จะทำอะไรก็แล้วแต่ ติดข้องในรูป ทำให้เกิดเวทนาที่พอใจ เป็นสุข
เพราะฉะนั้น เราออกจากโลกของความติดข้องในรูปไม่ได้ แม้ว่าเราจะทำกุศล อย่างไรๆ ก็ตาม ผลกุศลที่เกิดก็จะต้องทำให้เกิดในสวรรค์ หรือในสุคติภูมิที่ประกอบไปด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ออกจากความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะไม่ได้ ให้รู้ตามความเป็นจริงก่อน ไม่ใช่ให้เราไปดับอะไรเลย เพราะเหตุว่าต้องมีความรู้ที่ถูกต้องก่อน แล้วความรู้นั่นเองจะทำหน้าที่ของความรู้ คือ ค่อยๆ คลาย แต่ไม่ใช่ดับหมด เพราะเหตุว่ายังไม่ถึงปัญญาที่สามารถที่จะดับกิเลส เพราะเหตุว่าปัญญาที่จะดับกิเลสให้ไม่เกิดอีกได้เลย ต้องเป็นระดับของโลกุตตรปัญญา แต่ว่ามีการสะสมจากโลกียปัญญาจนกว่าจะถึงโลกุตตรปัญญา ก็เป็นเรื่องที่มาจากความเข้าใจในเรื่องสภาพธรรมโดยนัยต่างๆ
เพราะฉะนั้น เวทนาขันธ์ หรือเวทนาเจตสิก หรือความรู้สึก เป็นสังขารขันธ์หรือเปล่า มีเจตสิก ๕๒ เวทนาเจตสิกเป็นเวทนาขันธ์ สัญญาเจตสิกเป็นสัญญาขันธ์ ที่เหลือเจตสิกอีก ๕๐ เป็นสังขารขันธ์ เพราะฉะนั้น เวทนาเป็นสังขารขันธ์หรือเปล่า ไม่เป็น
สัญญา เจตสิกที่จำ จำทุกอย่าง ในขณะนี้เห็นอะไรก็รู้ว่าเป็นอะไร นั่นคือสัญญาเจตสิก สัญญาเจตสิกเป็นเวทนาขันธ์หรือเปล่า ไม่เป็น เป็นรูปขันธ์หรือเปล่า ไม่เป็น เป็นวิญญาณขันธ์หรือเปล่า ไม่เป็น เป็นสังขารขันธ์หรือเปล่า เป็น
นี่เป็นความรู้ความเข้าใจที่อยู่ที่ตัวทั้งหมด แล้วก็เจตสิกที่เหลือทั้งหมด ๕๐ เป็นสังขารขันธ์ เพราะฉะนั้น ปัญญามีจริงๆ ปัญญาเป็นเวทนาขันธ์หรือเปล่า ไม่เป็น ปัญญาเป็นขันธ์อะไรคะ สังขารขันธ์ ก็ไม่ยากเลย ในขั้นของปริยัติที่ทรงแสดง ทรงแสดงขันธ์ ๕ ตามการยึดถือว่า เรายึดถือรูปมากมายมหาศาล ไม่สามารถที่จะออกไปจากรูปได้เลย ผู้ที่เห็นโทษของรูป จะอบรมเจริญความสงบจนกว่าจะถึงการที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์ แต่ก็ยากมาก เพราะว่าต้องเป็นผู้ที่เห็นโทษจริงๆ เป็นเรื่องของจิตที่สงบ ที่เป็นกุศล ที่ไม่มีความติดข้อง แต่ว่าถ้าเราไม่เข้าใจจริงๆ เราก็เพียงไปทำสมาธิชั่วคราว แล้วคิดว่า ขณะที่ทำสมาธิ จิตสงบ แต่ไม่ใช่หนทางที่จะละความติดข้อง เพราะเหตุว่าไม่มีความรู้ในเรื่องของสภาพธรรมตามความเป็นจริง