สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๒๕
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๒๕
ผู้ฟัง เมื่อกี้อาจารย์บอกว่า พอสมมติว่าเราไปได้ยินว่า คนนั้นเขามีทุกข์หรือสิ้นชีวิตหรืออะไรก็แล้วแต่ ให้เรานึกได้ว่าเป็นกรรมของคนนั้น ใช่ไหมคะ
ท่านอาจารย์ ธรรมนี้ไม่ใช่ให้นึกหรือบังคับ หรืออะไร แต่ว่าปัจจัยจากการฟังจนกระทั่งถึงขณะนั้นสามารถไม่เศร้าหมองได้
ผู้ฟัง ทีนี้พอตอนที่เรารู้สึกโทมนัส เศร้าหมอง ที่เขาทุกข์ มันก็เป็นผลของกรรมของเราที่เราทำไว้ เราถึงได้รู้สึกโทมนัส
ท่านอาจารย์ ต่อไปเราจะเรียนละเอียดว่า วิบากจิตซึ่งเป็นจิตที่เป็นผลของกรรมมีอะไรบ้าง แล้วเราจะไม่สับสน วิบากนี้คือขณะเห็น จักขุวิญญาณเป็นวิบาก โสตวิญญาณ จิตได้ยินเป็นวิบาก ฆานวิญญาณ จิตได้กลิ่นเป็นวิบาก ชิวหาวิญญาณจิตที่ลิ้มรส เป็นวิบาก กายวิญญาณจิตที่รู้ สิ่งที่กระทบกาย เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว เป็นวิบาก เป็นวิบากในชีวิตประจำวันที่เราสามารถรู้ได้ แต่ยังมีวิบากอื่นซึ่งไม่ปรากฏในชีวิตประจำวัน ซึ่งเกิดหลังจากจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ พวกนี้ดับไป ก็คงจะทราบว่า เป็นสัมปฏิจฉันนจิต สันตีรณจิต ซึ่งเมื่อไม่ปรากฏ ในพระสูตรไม่ได้กล่าวถึง แต่ว่าจะกล่าวถึงในพระอภิธรรมซึ่งแสดงความละเอียด อภิ แปลว่า ละเอียดยิ่ง ให้เห็นว่าเป็นสภาพธรรมแต่ละประเภท แต่ละขณะอย่างไร
เพราะฉะนั้น เท่าที่เราสามารถจะรู้ได้ คือกำลังเห็นเป็นผลของกรรม เป็นจิตที่เป็นวิบาก วิบาก แปลว่า ผล ปากะ แปลว่าสุกงอม เพราะฉะนั้น การกระทำของเราที่เป็นกรรมในอดีตมีมาก แต่แล้วแต่ว่ากรรมไหนสุกงอมพร้อมจะให้ผล ก็เป็นปัจจัยให้วิบากจิตเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น วันนี้วิบากจิตทั้งนั้นเลย ไม่มีใครพ้นจากวิบากจิตได้ แต่หลังจากที่วิบากดับไปแล้ว จิตที่เกิดต่อเป็นกุศลหรืออกุศลซึ่งไม่ใช่วิบาก
เพราะฉะนั้น ขณะที่โทมนัสจะบอกว่าวิบากไม่ได้ ขณะที่เสียใจ ดีใจ ได้ลาภ ได้ยศจะบอกว่าเป็นวิบากไม่ได้ แต่ขณะเห็นเป็นวิบาก ขณะได้ยินเป็นวิบาก ก็ง่ายมากเลย
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น ตอนที่เราทราบเรื่องทุกข์ของคนอื่นแล้ว เราจะกรุณาเขา ถ้าเราจะรู้สึกโทมนัสขึ้นมา ก็ไม่ใช่เป็นผลจากกรรมของเรา
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ค่ะ ผลจากการสะสมกิเลสว่า กิเลสยังมีอยู่ จึงได้เกิดโทมนัส เพราะพระอรหันต์ท่านเห็นท่านก็ไม่โทมนัส เพราะเหตุว่าท่านดับกิเลสหมด