สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๒๗


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๒๗


    ผู้ฟัง วิบาก แปลว่าข้ามชาติ หมายถึงแสดงว่า วิบากที่ว่าเราจะได้รับระหว่างถิ่นที่เราเกิด ไม่เป็นผลดีกับตา ทำให้เห็นสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม เป็นวิบากที่ทำให้รับในชาติปัจจุบัน จากผลของกรรมที่กระทำ แล้วบุคคลที่เขาเกิดมา ที่ว่าสุขภาพไม่ดี เสียตา เสียแขน เสียขา แขนกุด เป็นวิบากกรรมแต่ชาติก่อนหรืออย่างไร กรุณาอธิบาย

    ท่านอาจารย์ วิบากเป็นรูปหรือเป็นนาม

    ผู้ฟัง ตามความเข้าใจของข้าน้อย มันก็เป็นคน มันก็เป็นรูปนะซี

    ท่านอาจารย์ รูปทุกชนิดไม่ว่ารูปอะไรทั้งสิ้นไม่สามารถจะรู้อะไรเลย สิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นปรากฏ แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยเป็นรูป เพราะฉะนั้น วิบากไม่ใช่รูป เพราะรูปถูกตีก็ไม่เจ็บ เพราะรูปไม่รู้อะไร แต่เจ็บไม่ใช่รูป เป็นนามธรรม เพราะฉะนั้น วิบากซึ่งเป็นผลของกรรมเป็นนามธรรม แต่กรรมก็ทำให้รูปเกิดด้วย ไม่ได้ทำแต่ให้นามธรรมซึ่งเป็นวิบากเกิดเท่านั้น เพราะฉะนั้น เวลาที่กรรมให้ผล ก็จะทำให้วิบากจิตเกิดพร้อม กัมมชรูป คือ รูปซึ่งเกิดจากกรรม

    ทันทีที่ปฏิสนธิจิตเกิด แต่ละคนเกิดมาต่างกัน ถ้าดูเฉพาะในโลกนี้ ก็มีมนุษย์กับสัตว์ ต่างกันแล้ว สัตว์นี่ต่างกันมาก วิจิตรมาก ผีเสื้อแต่ละตัวทำกรรมอะไรมาปีกจึงได้ไม่เหมือนกัน ก็เป็นผีเสื้อด้วยกันนั่นแหละ แต่ความวิจิตรของปีกผีเสื้อก็มากเหลือหลาย ช้างอีก นกอีก สารพัด ปลาในทะเล ปลาในแม่น้ำพวกนี้ จนกระทั่งถึงมนุษย์ กี่แสนพัน ล้านโกฏิคน เหมือนกันไหมคะ หายากที่จะเหมือนกัน แต่ทั้งหมดก็ต้องเป็นสิ่งที่เกิดจากกรรมเป็นปัจจัย แม้ว่าเป็นผลของกรรมก็จริง แต่ไม่ใช่วิบาก เพราะวิบากต้องเป็นประเภทเดียวกันกับจิต คือ เมื่อจิตเป็นกุศล และอกุศลเป็นเหตุ ก็เป็นปัจจัยให้วิบากจิต วิบากต้องเป็นจิตเท่านั้น ไม่ใช่รูป รูปเป็นผลของกรรมจริง แต่ไม่ใช่วิบาก วิบากก็คือขณะแรกที่เกิดในชาตินี้ เป็นวิบากขณะที่เป็นภวังคจิต ก็เป็นวิบาก ให้เป็นคนนี้ต่อไปเรื่อยๆ ยังไม่ให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ แล้วจุติจิตก็ทำให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ เมื่อสิ้นกรรม กรรมนั้นไม่ทำให้เป็นบุคคลนี้อีกต่อไป แต่ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ สิ่งที่เราจะต้องไม่สับสนก็คือว่า วิบากคือขณะที่เห็น เป็นผลของกรรม กรรมทำให้มีจักขุปสาท โสตปสาท ชิวหาปสาท พวกนี้ สำหรับเป็นทางรับผลของกรรม ถ้าเกิดมาแล้ว ไม่เห็นไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส เป็นไงคะ สบายดีไหมคะ เป็นแค่ภวังคจิต แต่เป็นไปไม่ได้ กรรมจะให้ผลเพียงแค่เกิดแล้วเป็นภวังค์อยู่เฉยๆ อย่างนั้นไม่ได้ ต้องมีทางที่จะรับผลที่ได้ทำมา ถ้าเป็นผลของกุศลก็เห็นดี ได้ยินดี ได้กลิ่นดี ลิ้มรสดี รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสดี ถ้าเป็นผลของอกุศลเมื่อไรก็เห็นไม่ดี ได้ยินไม่ดี ได้กลั่นไม่ดี ลิ้มรสไม่ดี เป็นทุกข์ทางกาย

    เพราะฉะนั้น เวลาที่ทุกทางกายเกิดขึ้น ทราบได้เลยว่า เป็นผลของกรรมที่เป็นอกุศล ใครทำ คนอื่นไม่ได้ทำให้เลย ไม่มีใครสามารถทำได้นอกจากกรรม ซึ่งได้กระทำแล้ว เป็นปัจจัยให้มีการรู้อารมณ์ที่ไม่ดีทางกายซึ่งทำให้เกิดทุกข์ทางกาย เคยถูกไฟลวก น้ำร้อนลวก หรือจะหกล้ม หรืออะไรก็แล้วแต่ ใครทำให้ กรรม ถึงกาลที่กรรมจะให้ผลทางตา ก็เห็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี ถึงกาลที่จะให้ผลทางกายก็เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เป็นทุกข์กาย แม้แต่คัน เกิดคันขึ้นมาจากที่ไม่เคยคัน ก็เพราะเหตุว่าถึงกาลที่กรรมจะให้ผล ทำให้กายต้องกระทบสัมผัสกับสิ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่สบาย ก็เป็นเรื่องที่เราเห็นชัดว่า เราหนีกรรมไม่พ้นเลย ทุกขณะที่เห็น ทุกขณะที่ได้ยิน เป็นผลของกรรม ส่วนรูปที่เกิดจากกรรม กรรมก็จำแนกรูปให้ต่างกันไป ถึงจะเป็นมนุษย์ก็รูปร่างหน้าตาต่างๆ กัน พิการบ้างก็มี ก็แล้วแต่กรรมที่เราใช้ ภาษาไทยว่า “บุญทำ กรรมแต่ง“ บุญทำให้เกิดเป็นมนุษย์ ส่วนจะเป็นมนุษย์อย่างไรก็กรรมก็แต่งไปตามกรรมนั้นๆ

    กรรมมีจริง ใช่ไหมคะ จริง เป็นปรมัตถธรรมหรือเปล่า เป็นธรรม เป็นธรรมประเภทไหน

    ผู้ฟัง เจตสิกใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ถ้าเป็นเจตสิกแล้วขอให้ชื่อนิดหนึ่ง เจตนาเจตสิกเท่านั้นที่เป็นกรรม เจตสิกอื่นเช่นเวทนาก็ไม่ใช่กรรม ผัสสะก็ไม่ใช่กรรม วิริยะ ความเพียรก็ไม่ใช่กรรม แต่กรรมได้แก่เจตสิกชนิดหนึ่ง คือ เจตนาเจตสิก ซึ่งเป็นผู้ที่จงใจตั้งใจที่จะให้การกระทำนั้นสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นทางฝ่ายกุศลหรือทางฝ่ายอกุศล ได้แก่ เจตนาเจตสิก


    หมายเลข 9430
    20 ส.ค. 2567