สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๓๑
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๓๑
ผู้ฟัง ก็มีคำถามจากหลายๆ คน และความสงสัยจากหลายๆ คนว่า เห็นทีไรก็เป็นตัวตนทุกที อะไรต่างๆ
ท่านอาจารย์ ไม่น่าสงสัย มันต้องเป็นอย่างนี้ เพราะอย่างไรๆ จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ อยู่ดีๆ ไม่เคยฟังธรรมเลย พอฟังแล้วก็บอกว่า เห็นทีไรก็เป็นตัวตน ก็แน่นอนก็ต้องเป็น เพราะเหตุว่าเป็นความรู้ขั้นฟัง
ผู้ฟัง แต่ความเข้าใจของเราก็จะต้องถูกต้องว่า ตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ ความจริงคืออย่างนั้น แล้วเราก็จะต้องค่อยๆ เข้าใจตาม แต่การที่จะไม่ให้เห็นเป็นสัตว์บุคคลตัวตน ขณะนี้ปัญญาของเรายังไม่ถึงที่จะสามารถรู้ได้ ประจักษ์ได้ เพราะฉะนั้น เราก็ต้องเข้าใจ
ท่านอาจารย์ เพียงขั้นที่จะรู้ว่าขณะนี้เป็นธรรม ก็ต้องฟังด้วยดีแล้วใช่ไหมคะ เพราะว่าไม่เคยรู้เลยว่า ธรรมนี้คืออย่างไร แต่ความจริงธรรมคือสิ่งที่มี แล้วมีลักษณะเฉพาะอย่างๆ ทั้งวัน เป็นธรรมหมดเลย มีขณะไหนซึ่งไม่ใช่ธรรม เห็นก็เป็นธรรม ได้ยินก็เป็นธรรม นี่ขั้นฟัง ใช่ไหมคะ แต่ต้องน้อมรู้ว่า กำลังเห็นที่จะรู้ว่า เป็นธรรมจริงๆ เป็นสภาพที่เป็นนามธรรม เป็นธาตุรู้ คือ ไม่มีตัวตนแต่สามารถเห็น ต้องมีความเข้าใจ และความระลึกได้ แม้เพียงนิดเดียวว่า ขณะนี้มีจริงๆ เพราะมีสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วสิ่งที่ปรากฏที่กล่าวไว้ แสดงไว้ ก็คือว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ตัวตน เพราะฉะนั้น กว่าจะเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ พอเข้าใจขึ้น แล้วเวลาที่กำลังปรากฏ ก็ค่อยๆ รู้ขึ้นว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ เราก็สามารถที่จะเห็นความต่างของขณะที่เห็นกับขณะที่คิด ผู้ที่ตรัสรู้สามารถรู้จริง คือ หยั่งลงไปถึงการเกิดขึ้น และดับไปโดยประการทั้งปวง โดยการเกิดดับเป็นขันธ์ โดยอายตนะ โดยอะไรทุกอย่างที่ทรงแสดง
เพราะฉะนั้น สิ่งที่เรามองเห็นว่า เหมือนไม่มีอะไร ผู้ตรัสรู้ทรงแสดง ๓ ปิฎก แสดงว่าลักษณะแท้จริงของสภาพธรรมเป็นอย่างนั้น ถ้าลักษณะแท้จริงของสภาพธรรมไม่เป็นอย่างนั้น จะไม่มีคำที่จะทรงแสดงให้รู้ว่า ลักษณะแท้จริง ความเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง เป็นอย่างนั้นอย่างนั้น อย่าง “อาสวะ” ลองคิดดู ลักษณะของเขาเป็นอย่างไร เราก็เพียงแค่รู้ว่า โลภะ แต่ว่าทรงแสดงความเป็นจริงของเขา ทั้งอาสวะ ทั้งโอฆะ ทั้งโยคะ ทั้งคันถะ สัมปฏิรสะ ของเขาเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้จริงๆ สิ่งซึ่งเหมือนไม่มีอะไร แต่ผู้ที่หยั่งถึงความเป็นของสิ่งนั้น สามารถที่จะรู้สิ่งนั้นโดยประการทั้งปวง โดยปัจจัย เราเพียงแค่เกิด จะทันที่จะรู้ไหมว่าปัจจัยอะไร แต่จากปัญญาที่ค่อยๆ อบรม ก็จะรู้ความต่าง ต้องมีอารมณ์ เพราะจิตขณะนั้นไม่มีอื่นเลย มีแต่จิตกับอารมณ์ ถ้าไม่มีอารมณ์ จิตขณะนั้นก็ไม่มีที่จะไปเห็นอารมณ์นั้นได้ หรือจะได้ยินอารมณ์นั้นได้ หรือได้กลิ่นอารมณ์นั้นได้
เพราะฉะนั้น ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้จิตประเภทนั้นเกิดขึ้นรู้ในขณะนั้น เพราะทุกอย่างที่เป็นธาตุจะปรากฏโดยสภาพที่ไม่ใช่ตัวตนเลย เป็นแต่เพียงลักษณะของเขา ซึ่งมีสภาพอย่างนั้น อย่างนามธรรมก็จะไม่มีสีสันอะไรเจือปนเลย ธาตุรู้เท่านั้นเอง เอาโลกออกหมด เอาอะไรออกหมด ธาตุรู้กับอารมณ์
เพราะฉะนั้น เราถึงจะเข้าใจ การที่ทรงแสดงๆ ตามความเป็นจริง แล้วสำหรับผู้ที่มีปัญญาระดับไหน จะรู้ปัจจัยได้ขณะไหน ผู้ที่หยั่งรู้ทรงแสดงได้เลยว่าขณะนั้นจะต้องมีปัจจัยเท่าไร แค่ไหน
เพราะฉะนั้น สัจจญาณ คือ ความมั่นคงยิ่งขึ้นในการที่จะรู้ว่าเป็นธรรมที่ปรากฏ แล้วก็การเกิดดับต้องเป็นแน่นอน ซึ่งจะต้องอบรมจนกว่าจะถึงกตญาณ
เพราะฉะนั้น เราก็รู้ตามความเป็นจริง การอบรมของพระอริยเจ้าทั้งหลายที่ท่านอบรมมาแล้ว ทำไมเป็นจิรกาลภาวนา เพราะ ๑. เป็นปกติ ยากมากเลย ปกตินี่ เพราะใจคอยคิดว่า จะทำ จะรู้ หรือจะดู หรือจะอะไรก็แล้วแต่ เคลื่อนไปนิดหนึ่ง จนกว่าเมื่อสภาพธรรมปรากฏกับสติสัมปชัญญะตามปกติเมื่อไร เมื่อนั้นตัว “จะ” หรือว่าตัวโลภะ จะค่อยๆ จางลง เพราะฉะนั้น การที่สภาพธรรมจะปรากฏยิ่งขึ้น ผู้นั้นก็รู้ว่า อะไรปิดบังไว้ เยื่อใยยังมีอยู่ตราบใด ก็ยังคงปิดบังไว้ตามกำลังของเยื่อใยนั้น เพราะว่าความรู้ขั้นฟัง เราก็รู้ว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีเรา แต่ความยึดถือแค่ไหน เพราะนั่นเรื่องฟัง เรื่องรู้ว่า ความจริงของผู้ที่ท่านละแล้ว ท่านเป็นอย่างนั้น แต่ว่าตัวจริงของเราถึงระดับไหนของอันนั้น ถ้ายังไม่ถึง ผู้นั้นก็คือตรง ถูกต้อง นั่นคือ สัจจญาณ คือ ทุกอย่างที่จะเป็นสัจจญาณ เพิ่มความมั่นคงขึ้น เพื่อเป็นปัจจัยให้สัมมาสติเกิดระลึกลักษณะ ไม่ใช่ระลึกรู้เรื่อง แต่ระลึกรู้ลักษณะ ค่อยๆ รู้ลักษณะตามความเป็นจริงว่า ลักษณะนี้เป็นรูป ไม่ใช่สภาพรู้ แล้วลักษณะนั้นเป็นสภาพรู้
เพราะฉะนั้น โลกอื่นไม่มีรวมอยู่เลยในขณะที่กำลังสติระลึกลักษณะของสภาพธรรมอย่างหนึ่ง แต่ไม่ได้จางเร็วอย่างนั้น ยังมีความเป็นเรา เพราะสภาพธรรมยังไม่ได้ปรากฏโดยความไม่มีอะไรเหลือเลย นอกจากขณะนั้นเท่านั้น
เราเรียนเพื่อให้เข้าใจว่า ความจริงคืออย่างนั้น แต่อัตตสัญญา ยังมีเยอะที่จะไม่ให้เป็นอย่างนั้นได้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่ตรงต่ออริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง สัจจญาณก็จะมั่นคงขึ้น มั่นคงขึ้น พอสัมมาสติเกิดก็รู้เลยว่า เพราะมีสัจจญาณ ถึงไม่ไปทำอื่น จึงเป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิดระลึกชั่วขณะ แต่เรารู้ความต่างว่า ขณะที่สัมมาสติเกิดกับขณะที่หลงลืมสติ นี่ต่าง แล้วรู้ว่าปัญญาตรงนั้น แค่ไหน จะเพิ่มขึ้นด้วยการที่สัมมาสติเกิดอีก จนกว่าจะรู้ได้ และในขณะเดียวกันต้องไม่มีความอยากที่จะให้สัมมาสติเกิด คือ ตัณหา และสมุทัยของเขาตามติดตลอด ไม่มีทางที่จะปล่อยไปได้เลย ไม่เช่นนั้นไม่ทรงอุทานว่า เราพบนายช่างเรือน ผู้สร้างเรือน คือ สังสารวัฏฏ์ ที่อยู่ภพชาติแต่ละชาติ เขามาสนิทมาก รวดเร็วมาก
เพราะฉะนั้น ทางสายกลางลองคิดดู ไม่มีทั้งอภิชฌา และโทมนัส เราก็คิดว่า ขณะที่สติสัมปชัญญะเกิด ขณะนั้นไม่มีโทสะ ไม่ต้องการอารมณ์ที่กำลังปรากฏ ไม่มีอภิชฌาในอารมณ์ที่ยังไม่ปรากฏ แต่แม้ขณะนั้นก็ตาม หนทางนี้ก็คือว่า เมื่อสติสัมปชัญญะเกิดแล้ว ยังต้องไม่มีความอยาก เพราะว่าความอยากปรากฏให้เห็น ความเป็นเรา จะเห็นความหนาแน่นของเรา สักกายทิฏฐิทั้งหมด มีชื่อเวลาเราเรียน แต่ตัวจริงของเขาจะเริ่มปรากฏให้เห็นว่า จะมากแค่ไหน จะค่อยๆ คลายแค่ไหน และถึงจะหมดเยื่อใยได้แค่ไหน ตามกำลังของปัญญา ไม่ใช่ไปเป็นเราที่จะพยายามไปฝืน พยายาม ไปเพียรโดยที่ว่า ไม่รู้ความจริงว่า เป็นเรื่องของการอบรมด้วยการละ