สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๓๔
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๓๔
ผู้ฟัง เรื่องการเกิดของรูป เกิดแบบไหน ดับแบบไหน มีกี่ขณะ อย่างนี้ค่ะ ให้อาจารย์ช่วยอธิบาย
ท่านอาจารย์ รูปเป็นธรรมแน่นอน แล้วก็วันหนึ่งๆ ก็มีรูปไม่มากเพียงแค่สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ๑ รูป คือ เห็น เราเห็นมามากเลย แต่เราก็ไม่สามารถเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏว่า เป็นเพียงรูป รู้สึกว่ามันจะมีมากกว่าเพียงรูป เป็นดอกไม้ เป็นขวด เป็นต้นไม้ เป็นคน มันไม่ใช่เพียงรูป แต่ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาจริงๆ อันนี้เราฟังไว้ เพราะว่าเราอาจจะเคยฟังมาแล้วบ้าง ชาติก่อน แล้วก็ฟังชาตินี้ ชาติหน้า เราก็ไม่พ้นการฟังกันอีกเรื่องรูป เพราะว่ามันยากจริงๆ ที่จะให้เห็นเป็นเพียงรูปเท่านั้น ขณะนี้มีคนเยอะแยะที่เรากำลังเห็น แล้วจะบอกว่าเป็นเพียงรูป ก็ยาก เพราะว่าความจริงแล้ว สิ่งที่ปรากฏทางตา ถ้าเราลองคิดถึงว่า คนตาบอดไม่เห็น อะไรก็ตามที่คนตาบอดไม่เห็น คนตาบอดอาจจะคลำ แล้วก็รู้ว่าสิ่งนี้เป็นอะไร จะเป็นกลม หรือจะเป็นเป็นเหลี่ยม มีขาออกไป มีแขนยื่นมา เขาก็พอจะจำได้ แต่ไม่เห็น อย่างคนตาบอดคลำพระพุทธรูป ก็อาจจะเริ่มคลำไปเรื่อยๆ แต่อย่างไรๆ ก็ไม่เห็น
เพราะฉะนั้น ที่กำลังถูกเห็น กำลังมองเห็นขณะนี้ มันไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มี รูปร่างสัณฐานอย่างที่เราทรงจำไว้ว่าเป็นสิ่งใด เพียงแต่ปรากฏ สิ่งที่ปรากฏสั้นๆ นิดเดียว เราบอกได้ไหมว่า เป็นอะไร ฟ้าแลบในที่มืดแปล๊บเดียว เราจะเห็นไหมว่าเป็นอะไรที่นั่น ก็เห็นแต่เพียงแสงนิดเดียวของฟ้าแลบ เพราะฉะนั้น ขณะนี้ก็เหมือนอย่างนั้น เพราะว่าขณะนี้ก็เหมือนอย่างนี้ เพราะว่าสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาต้องมีตา ถ้าตาบอดไม่เห็น เพราะฉะนั้น เพียงแต่สิ่งนี้กระทบกับตา แล้วก็มีการเห็นเกิดขึ้น แต่การเห็นไม่ได้เห็นครั้งเดียวแบบฟ้าแลบ สั้นๆ ทีเดียว หลายๆ ครั้ง หลายๆ ครั้ง จนกระทั่งทำให้เกิดความทรงจำในสีสันของสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็รู้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร อย่างเห็นคนกับเห็นดอกไม้ มีความเป็นคน มีความเป็นดอกไม้ เพราะรูปร่างต่างกัน ถ้าดอกไม้ รูปร่างอย่างคน เราก็ไม่เรียกว่าดอกไม้แน่ เราเพียงแต่จำรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็ทรงจำว่า มีสิ่งนั้นในสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา แต่ความจริงถ้าแยกเอาสิ่งที่เป็นเรื่องเป็นราวออกจากสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็เป็นเพียงสีสันวัณณะ ถ้าเราจะมองไปที่ฝาผนัง ทำไมเป็นดอกบัวไปได้ ใครว่าไม่ใช่ดอกบัวบ้าง ใช่หรือเปล่าคะ ดอกบัวหรือเปล่าคะ ดอกบัว แค่นี้ แค่สี บอกว่าเป็นดอกบัวได้อย่างไร ใช่ไหมคะ เพียงพูดสี แล้วพอเห็นปุ๊บก็เป็นดอกบัว
เพราะฉะนั้น เพียงแค่เห็นก็เป็นคนนั่งอยู่แถวนี้เหมือนกัน ไม่มีต่างกันเลย เพราะฉะนั้น ทางตา ไม่ว่าจะเป็นรูปของดอกบัว รูปภาพ ไมใช่ตัวจริงๆ ของดอกบัว เพียงแค่รูปของดอกบัว ก็ทำให้แค่สีก็นึกถึงดอกบัว เพราะฉะนั้นเวลาเห็นตัวของดอกบัวก็ไม่ต่างกันเลย ก็เห็นแล้วก็นึกถึงดอกบัว
เพราะฉะนั้น เราต้องแยกสิ่งที่ปรากฏทางตานี่ ไม่ง่ายที่จะรู้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ฟังไปเถอะค่ะ ฟังไปอีก ฟังไปอีก จนกระทั่งเราซึมซาบกับความหมายพอที่จะเข้าใจว่า จริง ถูกต้อง เรื่องของการที่จะจดจำว่า สิ่งที่ถูกเห็นเป็นอะไร เรื่องหนึ่ง เพราะคิด แต่ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาจะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากขณะนี้ที่กำลังเป็นอย่างนี้ คือเป็นเพียงสิ่งที่กระทบตาแล้วปรากฏ ยังไม่ต้องไปคิดถึงว่า เป็นดอกบัว ไม่ใช่ดอกบัว เอารวมหมดนี้เลย ทุกอย่างกำลังปรากฏทางตา เป็นสิ่งที่มีจริง ยังไม่ต้องนึกว่า เป็นคน เป็นสัตว์ อะไรเลย แค่เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา
นี่คือธรรม เป็นสิ่งที่เข้าใจยาก เพราะว่าเราไม่เคยชินกับการที่จะค่อยๆ พิจารณาว่า ขณะเห็น เท่านั้นจริงๆ ไม่ใช่ขณะที่กำลังคิดนึก เราต้องค่อยๆ พิจารณาธรรมจนกว่าจะเป็นความเข้าใจจริงๆ เพียงแค่บอกว่า ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ยังไม่ถาม คน ยังไม่ถามเรื่องอะไรหมดเลย ค่อยๆ คล้อยตามว่าจริง ไม่ต้องเรียกชื่อด้วย แค่เห็น ถ้าตาบอดก็ไม่เห็นแล้ว อย่างเวลาฝัน ในฝันจะไม่มีสีสันวัณณะอย่างนี้ปรากฏเลย แต่จะเป็นเรื่อง
ขณะนี้เรานั่งอยู่ที่นี้ ลองคิดถึงเพื่อนสักคนหนึ่ง เอาคุณหมอยุพดีก็ได้ ลองคิดถึงคุณหมอยุพดี ไม่มีเสื้อคุณหมอยุพดีเลย แต่มีความจำ ความทรงจำ เพียงแค่ชื่อก็จำ แล้วก็ยังจำรูปร่างบางครั้งได้ในฝัน เราก็จำได้
เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องความคิด ไม่ต้องอาศัยการเห็นก็ได้ แต่ความจำจากสิ่งที่เราได้เห็นแล้ว ไปเป็นการนึกคิดถึงเรื่องนั้นจนเหมือนของจริง ที่เราใช้คำว่า “ฝัน” แต่ความต่างก็คือว่า ในฝันไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาอย่างนี้ ถ้าปรากฏว่า มีสิ่งที่ปรากฏทางตาอย่างนี้คือตื่น ไม่ใช่ฝันแล้ว ใช่ไหมคะ แต่ถ้ายังฝันอยู่ตราบใด จะไม่เหมือนเราลืมตาปุ๊บ แล้วมันก็ไม่ใช่ฝันแล้ว เพราะมันกำลังเป็นสีสันวัณณะที่ปรากฏทางตา
เพราะฉะนั้น กว่าเราจะรู้จักธรรมจริงๆ ซึ่งก็มีเพียง ๖ ทาง ทางตา ๑ ทาง ทางหู ๑ ทางจมูก ๑ ทางลิ้นอีก ๑ ทางกายอีก ๓ รูป เย็นหรือร้อน ๑ รูป อ่อนหรือแข็ง ๑ รูป ตึงหรือไหว ๑ รูป ๗ รูป ท่องคำว่า ๗ หรือจำว่า ๗ ไว้ได้เลย ๗ วัน ๗ รูป มีรูปที่ปรากฏในสังสารวัฏฏ์ ตลอดกี่ชาติๆ ก็ ๗ รูป แล้วเราก็ติดในรูป ๗ รูปนี้ แค่ ๗ แล้วก็เป็นรูปด้วย แต่ว่าเราไม่สามารถจะพ้นจากความติดข้องต้องการรูป เพราะจิตเป็นสภาพรู้ เป็นนามธรรม เกิดขึ้นแล้วไม่รู้ได้ไหม จิตนี้ จะให้เหมือนโต๊ะ เก้าอี้ได้ไหม ไม่ได้เลย อย่างไรๆ จิตเกิดขึ้นแล้วต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด จะอาศัยตา อาศัยหู อาศัยจมูก อาศัยลิ้น อาศัยกาย อาศัยใจ หรือไม่อาศัยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าจิตเกิด จิตต้องสภาพรู้ แล้วทางมโนทวาร ตอนตื่นนี่มีไหมคะ
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เมื่อไรคะ
ผู้ฟัง หลังจากจิตเห็นแล้ว
ท่านอาจารย์ หมายความว่า ทางตา วิถีจิตทางตา เห็น ทางใจรับต่อทันที ถ้าไม่รับต่อจะไม่รู้เลยว่า ขณะนี้มีอะไรอยู่ที่นี่ แต่เพราะรับต่อทุกครั้ง ไม่ว่าเสียงปรากฏขณะนี้ ทางหูได้ยิน ทางใจรับต่อ เราถึงรู้ว่า กำลังฟังคำอะไร มันไม่ได้แค่ได้ยิน ใช่ไหมคะ แต่มันมีความหมายของเสียงสูงๆ ต่ำๆ ซึ่งทางมโนทวารเท่านั้นที่สามารถจะรู้ความหมายของเสียงสูงๆ ต่ำๆ นั้นได้ เพราะว่าทางหูแค่ได้ยิน คือ ทางตานิดหนึ่งแค่เห็น ทางหูแค่ได้ยิน ทางจมูกก็แค่ได้กลิ่น ทางลิ้นก็แค่รสปรากฏลิ้มรส แล้วก็ทางกายก็แค่กระทบสัมผัส แต่ทางใจรู้ต่อทั้งหมดแล้วก็คิดนึกหมดเลย เวลาคิดนึกก็คิดยาว เห็นคน ได้ยินคำต่างๆ พวกนี้ทางใจทั้งนั้น
เพราะฉะนั้น ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจก็เกิดดับ แล้วก็สลับกันตลอดเวลา แต่ให้ทราบว่า ทางมโนทวารหรือทางใจล้วนๆ แม้ไม่มีทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เกิดก่อน เขาก็สามารถจะคิดนึกได้ เพราะฉะนั้น ขณะคิดนึกก็แสดงว่า เป็นทางใจล้วน
เวลาฝัน ทางไหนคะ ทางใจ เพราะไม่เห็น ไม่ได้ยิน แต่จำ เพราะฉะนั้น เราพิสูจน์ได้เลยเรื่องทางใจ ตอนจำโดยที่ไม่ต้องเห็น ไม่ต้องได้ยิน ก็จำ จำเสียงที่เคยได้ยิน พูดว่าอะไร เขาว่าอะไรก็ได้ จำกลิ่น จำอะไรได้หมดเลย แต่ว่าขณะนั้นไม่มีทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ทางใจจำได้หมด เห็นชัดเจนเวลาที่ฝัน รูปอะไรที่จะรู้ยากคะ สิ่งที่ปรากฏทางตา มี แต่รู้ยากว่า เป็นเพียงรูป ปรมัตถธรรม รู้ยากว่า มันมีก็จริง แต่ช่างรู้ยากว่า เป็นเพียงรูป ก็เป็นคน จะว่าเป็นเพียงรูปได้อย่างไร แต่เป็นรูปทางตา
เพราะฉะนั้น ทางตานี้คือสีสัน สูง ต่ำ ดำ ขาว อะไรก็ต้องทางตา สีสันเท่านั้นเราถึงจะรู้ได้ เพราะฉะนั้น พอตาบอดเมื่อไรก็รู้เลย ไม่มีอีกแล้ว รูปทางตาไม่ปรากฏ แต่ถ้ายังตาไม่บอดก็จะไม่รู้ความต่างว่า แท้ที่จริงเวลาที่ตาบอดสนิท ไม่มีเห็นเลย ไม่มีรูปขณะนี้ปรากฏอีกได้เลย ก็จะรู้ว่า รูปที่กำลังปรากฏ เพียงสีสันวัณณะที่ปรากฏ คือรูปชนิดหนึ่ง ถ้าตาบอด เรายังมีความทรงจำว่า เราเคยเห็น ถูกต้องไหมคะ แต่ว่าสิ่งนั้นไม่ปรากฏอีก แต่เวลายังตาดีอยู่ เรานึกไม่ออกว่า เป็นเพียงรูป แต่ว่าถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว ถ้าเราเกิดตาบอดหมดเดี๋ยวนี้ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเดี๋ยวนี้จะไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น สิ่งนี้ที่กำลังปรากฏ คือรูปชนิดหนึ่ง แล้วเป็นธรรม เพราะเหตุว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปนี้ไม่ได้เลย ถ้ารูปนี้ไปกระทบหู กระทบกาย รูปนี้ก็ไม่ปรากฏ ต้องกระทบกับจักขุปสาทเท่านั้นที่อยู่ตรงกลางตา รูปนี้ถึงจะปรากฏได้
เพราะฉะนั้นธรรมก็เป็นอนัตตาจริงๆ ใครเปลี่ยนแปลงลักษณะธรรมแต่ละอย่างไม่ได้ หนทางเดียวคือว่าต้องเข้าใจถูกต้อง จะรู้จักธรรม ก็ไม่พ้นจากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ขณะนี้เราฟังยังยากเลย ที่จะรู้ว่า เป็นเพียงรูป เพราะฉะนั้น เราจะอยู่ที่ไหน ตรงไหนก็ตาม ถ้าเราฟังบ่อยๆ ก็อาจจะเกิดความคิดขึ้นมาได้ว่า ขณะนี้เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏ รู้ในลักษณะของความเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ แต่ถ้าไม่มีการคิดอย่างนี้เลย ก็ไม่ต้องถามวิธี ถ้าถามวิธี ก็คือยังคงมีความเป็นเราลึกที่โผล่ออกมาให้เห็นว่า ที่ต้องการอย่างนี้ เพราะเป็นเราที่ต้องการ แต่ถ้าเป็นปัญญา คือสิ่งนี้จะปรากฏเมื่อค่อยๆ อบรมขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แต่ถ้ารีบร้อน ทำอย่างไร เมื่อไร หรือวิธีอย่างไร ก็เป็นความรักตัว ยังมีความเป็นตัวอยู่มาก