สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๓๕


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๓๕


    ผู้ฟัง อยากจะถามคำว่า กัมมัฏฐาน แปลว่าอะไร

    ท่านอาจารย์ เวลาคุณนาทำกับข้าว มันเป็นกัมมัฏฐานหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ค่ะ เพราะว่าคำว่า “กัมมัฏฐาน” รู้สึกว่าเขาไปทางเกี่ยวกับสมาธิอะไร เข้ากัมมัฏบาน ไปนั่งสมาธิ อะไรอย่างนี้ รู้สึกจะได้ยินแบบควบคู่ไปในลักษณะอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่กรรมธรรมดาที่เราทำขั้นทาน ขั้นศีล เพราะว่า กัมมัฏฐาน ฐานะ แปลว่าที่ตั้งของกรรม กรรมอะไร ต้องมีคำถามอีก คือทุกคำต้องแจ่มแจ้ง ฐานเป็นที่ตั้งของกรรม กรรมอะไร กรรมที่ว่านี้มี ๒ อย่าง สมถะ การทำจิตให้สงบระงับจากอกุศล เป็นสมถกัมมัฏฐาน แล้วก็การที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมจนกระทั่งสามารถจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ไม่ใช่สมถกัมมัฏฐาน เพราะอันนั้นเพียงแค่ระงับอกุศล แต่อันนี้เป็นวิปัสสนากัมมัฏฐาน ที่ตั้งของการกระทำที่จะทำให้เกิดปัญญา รู้แจ้งความจริงของสภาพธรรม

    เพราะฉะนั้น ก็มี ๒ อย่าง ถ้าอยู่ในครัวคงไม่ต้องเข้ากัมมัฏฐาน ที่เขาใช้ๆ กัน ใช้คำว่า เข้ากัมมัฏฐาน กับออกกัมมัฏฐาน แต่การศึกษาธรรม เป็นผู้ที่ตรง คือปัญญาที่ฟังต้องฟัง ไตร่ตรอง แม้แต่ใครจะกล่าวก็ตามแต่ สิ่งนั้นมีเหตุผลหรือเปล่า ถูกหรือผิด เพราะว่าการศึกษาธรรมต้องเป็นเรื่องที่ตรง แล้วก็ถูก แต่ถ้าไม่ศึกษาตามลำดับ ใครจะไปรู้เท่าพระพุทธเจ้าที่จะไปเรียนเองได้ ถ้าคิดเองก็คือผิด

    เพราะฉะนั้น สมถกัมมัฏฐานก็คือไม่ใช่ขั้นทาน ขั้นศีล แต่เป็นผู้ที่มีปัญญา สามารถที่จะรู้ว่า เวลาที่เห็นแล้ว พอเห็นปั๊บ เปิดตาขึ้นมาลืมขึ้นมาเห็น อาสวะไหลไหมคะ ต้องเป็นคนมีปัญญาถึงจะเห็น แล้วก็เห็นความต่าง พระขีณาสพก็คือผู้ที่ดับอาสวะ ท่านเห็นอย่างเรา แต่คนที่ไม่ใช่พระอรหันต์ เห็น และไหลไปเลย กามาสวะ ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว แค่เอามีดกรีดนิดเดียว ยางก็ไหลออกมาแล้ว เพราะว่าพร้อมที่จะไหล พระอรหันต์เห็นอย่างเรา เห็นอย่างนี้ แต่หลังจากนั้นแล้วไม่มีอาสวะกิเลสด้วย แม้แต่กิเลสระดับนั้นก็ไม่มี

    เพราะฉะนั้น นี่ก็เป็นความต่างที่จะทำให้รู้ว่า การอบรมเจริญปัญญามี ๒ อย่างอย่างหนึ่ง คือ ก่อนการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มีผู้ที่ฉลาด มีปัญญาถึงขั้นที่รู้ว่า หลังเห็นแล้วเป็นอกุศลเลย เพราะฉะนั้น ท่านก็มีปัญญาที่จะรู้ว่า ระลึกถึงอะไรแล้วกุศลจิตจะเกิดมั่นคงขึ้น จนกระทั่งอกุศลเกิดไม่ได้ เป็นการระงับอกุศลไว้ได้ชั่วคราว ที่เราพูดว่า ระงับนิวรณ์ เพราะเหตุว่านิวรณ์ทั้ง ๕ ได้แก่ อกุศลทุกชนิด ย่อไปแล้วก็เป็นนิวรณ์ ๕

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีปัญญาถึงระดับนั้น เราก็เห็นอาสวะ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่า หลังเห็นแล้ว ไม่ทันไกล พอเห็นก็ไหลไปแล้ว พอได้ยินก็ไหลไปแล้ว ตามกำลังของอกุศลที่สะสมมาในแสนโกฏิกัปป์ ใครจะไปยับยั้งได้

    เพราะฉะนั้น ก่อนการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มีผู้ที่ได้อบรมเจริญปัญญามาพอสมควร สมัยนั้นพระอรหันต์ก็มาก พระอนาคามีก็มาก พระสกทาคามี พระโสดาบัน ในประเทศที่เราไปที่อินเดีย ก็เต็มไปด้วยผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลกับผู้ที่ไม่เป็นพระอริยบุคคล เพราะเหตุว่าเหตุไม่เท่านั้น แต่ในครั้งนั้นมีมาก เกิดมาพร้อมที่จะได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ ได้เฝ้า ได้ฟังธรรมจนกระทั่งได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่ก่อนการตรัสรู้ ก็มีคนที่มีปัญญาระดับหนึ่งที่รู้ว่า ถ้าตรึกระลึกถึงอารมณ์ที่ทำให้จิตสงบ ซึ่งเขาเรียกว่า สมถกัมมัฏฐาน หมายความว่าฐาน คือ อารมณ์นั้นเป็นที่ให้จิตระลึกแล้วสงบ เป็นที่ตั้งของการกระทำจิตให้สงบ เป็นสมถกัมมัฏฐาน

    เพราะฉะนั้น ถ้าเราระลึกถึงกล้วย เป็นสมถกัมมัฏฐานหรือเปล่าคะ เป็นโลภะ มันไม่เป็น ใช่ไหมคะ ต้องเป็นอารมณ์ของความสงบ ซึ่งมีทั้งหมด ๔๐ อย่าง แต่เราก็คงจะไม่มีใครที่ตั้งใจจะให้จิตสงบถึงขั้นฌาน เพราะเหตุว่าถ้ารู้หนทางที่จะดับกิเลส ทำไมเราจะไปทำให้จิตสงบ เพราะว่าไม่ใช่มีใครที่จะได้โดยง่ายเลย ถ้าเราถามเขาว่า สมถกัมมัฏฐานคืออะไร แล้วเขาบอกว่า นั่งหลับตา เราจะได้ความรู้ความเข้าใจอะไรไหม ถ้าเขาบอกว่า สมถกัมมัฏฐานคือนั่งหลับตา เพราะไม่ใช่เรื่องนั่งหลับตา หลับตาเราก็หลับได้ แต่ปัญญาอยู่ที่ไหน เพราะเหตุว่าการที่จะทำให้จิตสงบต้องเป็นปัญญาด้วย ถ้าไม่ประกอบด้วยปัญญาแล้ว หรือขณะนั้นไม่ใช่กุศลที่ประกอบด้วยปัญญา อบรมเจริญสมถกัมมัฏฐานไม่ได้ แล้วใน ๑๐๐ คน ๑,๐๐๐ คนที่จะให้จิตสงบถึงขั้นอุปจารสมาธิก็สัก ๑ แล้วในบรรดาผู้ที่ได้อุปจารสมาธิแล้วที่จะให้ได้ฌานจิตก็สัก ๑

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องที่ต้องรู้สภาพจิตใจของเรา อย่างในขณะนี้ที่เรานั่งอยู่ เราคิดว่าเราเป็นอย่างนั้น เราคิดว่าเป็นกุศล แต่เวลาที่อกุศลแทรกเข้ามา เราก็ไม่รู้ความต่างจริงๆ ของกุศล และอกุศล เพราะต้องประกอบด้วย สติสัมปชัญญะจริงๆ จึงจะรู้ได้ ไม่ใช่อยู่ดีๆ เราก็นั่งบอกว่า ตอนนี้จิตเราเป็นกุศล ตอนนั้นจิตเราเป็นอกุศล แต่ไม่ได้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ กุศลก็ดับไปแล้ว อกุศลก็ดับไปแล้ว วิบาก คือ จิตเห็นก็ดับไปแล้ว แปลว่าเราไม่รู้อะไรสักอย่าง แต่เราพูดได้หมด พูดเรื่องวิบากก็ได้ พูดเรื่องกุศลก็ได้ พูดเรื่องอกุศลก็ได้ แต่ไม่รู้ตัวจริง

    เพราะฉะนั้น ทั้งหมดเป็นเรื่องของปัญญาที่จะต้องอบรมตามลำดับขั้น สำหรับสมถภาวนาก็เห็นโทษของอกุศล แล้วยังไม่เคยได้ยินคำสอนเรื่องการอบรมสภาพธรรม ที่เป็นปัญญาที่สามารถจะรู้แจ้งความไม่ใช่เราได้ ที่เป็นวิปัสสนากัมมัฏฐาน เมื่อยังไม่เคยได้ยินวิปัสสนากัมมัฏฐาน ท่านเหล่านั้นก็อบรมเจริญสมถกัมมัฏฐาน ท่านเหล่านั้นอาจจะอบรมเจริญสมถกัมมัฏฐานจนกระทั่งบรรลุถึง อรูปฌาน คือฌานที่สูงกว่ารูปฌานอีก ไม่มีรูปเป็นอารมณ์เลย แต่ไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม อย่างอาฬารดาบสกับอุทกดาบส ท่านสิ้นชีวิตก่อนที่พระพุทธเจ้าจะได้ไปโปรด เพราะฉะนั้น เวลานี้ท่านก็เป็นอรูปพรหม ตา หูไม่มี รูปร่างใดไม่มีเลย ไม่สามารถจะได้ยินคำสอนจนกว่าจะจุติจากโลกนั้น เมื่อจุติจากโลกนั้นแล้ว จะได้ยินหรือเปล่าก็ไม่รู้

    เพราะฉะนั้น นี่คือกาลสมบัติที่หาได้ยาก ขณะที่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงอุบัติ ขณะที่ทรงแสดงธรรม พระธรรมยังอยู่ แล้วขณะที่บุคคลนั้นไม่ได้เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรืออะไรหูหนวก ตาบอด ที่ไม่มีโอกาสจะได้ฟัง เพราะฉะนั้น เมื่อยังมีก็ได้ฟัง

    เพราะฉะนั้นมีกัมมัฏฐาน ๒ อย่าง สมถกัมมัฏฐาน อบรมเจริญความสงบของจิตที่ระงับอกุศลของจิตที่จะเกิดไม่ให้เกิดได้ชั่วคราว ถึงขั้นอุปจารสมาธิกับอัปปนาสมาธิ ซึ่งเป็นฌานจิต มีรูปฌานถึง ๕ ขั้น จากฌานขั้นที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่๔ ที่ ๕ แล้วสงบกว่านั้นอีก โดยที่ว่า ถ้ายังมีรูปเป็นอารมณ์อยู่ ก็ใกล้ชิดกับการที่จะเป็นอกุศล เมื่อเห็นโทษของรูปซึ่งเป็นอารมณ์ ท่านก็อบรมเจริญฌานที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์ เป็นอรูปฌานกุศล แล้วเวลาที่ตาย ถ้าฌานนั้นไม่เสื่อมก็เกิดเป็นรูปพรหม กับอรูปพรหม ตามกำลังของฌาน

    เพราะฉะนั้น ถ้าใครบอกว่าคนนี้ตายแล้วไปเกิดเป็นพรหม ถ้าเขาไม่ได้ฌาน เขาจะไปเกิดเป็นพรหมได้ไหมคะ ไม่ได้ ก็เป็นเรื่องธรรมดา ให้เข้าใจว่ากรรมฐานมี ๒ อย่าง ที่ตั้งของการกระทำ ความสงบให้เกิดขึ้นมั่นคง เป็นสมถกรรมฐาน ส่วนวิปัสสนากรรมฐาน ก็เป็นอารมณ์ที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏทุกขณะ สติเกิดระลึกรู้ลักษณะของอารมณ์นั้นตามความเป็นจริงเมื่อไร อันนั้นก็จะนำไปสู่การประจักษ์แจ้ง เพราะฉะนั้นขณะนี้ทุกอย่างที่มีจริง เมื่อไรที่สติสัมปชัญญะเกิด สิ่งนั้นเป็นกรรมฐาน แต่ว่าเป็นกรรมฐานของสติ ก็ใช้คำว่า “สติปัฏฐาน” เป็นที่ตั้งของสติที่จะทำให้ปัญญาค่อยๆ รู้ความจริงนั้นจนกว่าจะถึงความเป็นพระอริยบุคคล

    ถ้าได้ยินคำว่ากรรมฐานต้อง ๒ อย่างเกี่ยวข้อง ไม่ใช่เรื่องทานเรื่องศีล ธรรมดา คือเรื่อง สมถกรรมฐานอย่างหนึ่ง แล้วก็วิปัสสนากรรมฐานอีกอย่างหนึ่ง


    หมายเลข 9438
    21 ส.ค. 2567