สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๓๘
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๓๘
ผู้ฟัง เรียนถามท่านอาจารย์ครับว่า ที่มาอเมริกาในครั้งนี้อิ่มตลอดเวลาเลย ทั้งคุณแจ๊ค คุณอ้อย แล้วก็ชาวลาวที่สามัคคีกันพร้อมเพรียงทำอาหารมาต้อนรับพวกเราชาวคณะมาจากกรุงเทพ เป็นการเจาะจงหรือเปล่าครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ที่จริงเป็นเรื่องของจิต และจิตนี้ละเอียดมากคะ อย่างที่กล่าวว่าเจาะจงให้คุณแจ๊ค จิตของเราขณะนี้เป็นโลภะ ความติดในคุณแจ๊ค หรือว่าเห็นประโยชน์ที่คุณแจ๊คได้ทำ แล้วก็ควรที่จะได้ให้กำลัง ให้ร่างกายแข็งแรง ทำทุกอย่างสำหรับผู้ที่มีประโยชน์ ไม่ใช่ว่าคุณแจ๊คไม่ได้ทำอะไร ก็เหมือนลูกหลาน เราก็เอานี่ให้ลูกด้วยความรัก ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะฉะนั้น เราก็จะต้องรู้จิตในขณะนั้นด้วยว่า การให้ที่มองดูเหมือนกับว่าเราเจาะจง แต่ขณะนั้นเรามีกุศลจิตหรือเปล่า ที่ให้เพราะอะไรเป็นเหตุเป็นผล อย่างให้ผู้ที่มีคุณ อย่างมารดาบิดา กับให้คนอื่นๆ ให้คนอื่นๆ เป็นการอนุเคราะห์ ถูกต้องไหมคะ แต่ให้บิดามารดาเป็นการบูชาคุณ มารดาบิดาเป็นอาหุเนยโย เป็นคุณธรรมของพระอริยบุคคลประการหนึ่ง แต่ว่าท่านไม่ได้เป็นพระอริยะจริง แต่คุณของท่านเสมอกับพระอริยะซึ่งมีต่อลูก ทำทุกอย่างให้ลูกได้หมด แต่ว่าท่านจะมีความรัก ความผูกพัน นั่นก็เรื่องของท่าน แต่ว่าถ้าเราเป็นผู้ที่เป็นกลาง แล้วก็มีเหตุผล ไม่มี ฉันทาคติ ไม่มีความลำเอียงเพราะรักใคร่ ไม่มีผูกพัน ไม่มีความลำเอียง เพราะโทสะ เพราะไม่ชอบ ไม่มีความลำเอียงเพราะโมหะ ความไม่รู้ ไม่มีความลำเอียงเพราะกลัว
เพราะฉะนั้นการกระทำของเรา เป็นการกระทำที่ตรง อาจหาญ มีเหตุมีผล เราก็รู้ว่าขณะนั้นสภาพจิตของเราเป็นอย่างไร เพราะการให้มี ๒ อย่าง ให้เพื่ออนุเคราะห์อย่างหนึ่ง ให้เพื่อบูชาคุณอีกอย่างหนึ่ง เวลาที่เราระลึกถึงพระรัตนตรัย แล้วเอาอาหารไปถวายพระ เราถวายเจาะจงพระรูปนี้ว่า คุ้นเคยกันหรือว่า ท่านเป็นพระภิกษุ ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร
เพราะฉะนั้น คำว่า “สังฆทาน” ทานที่ให้แก่พระสงฆ์ ไม่ได้หมายความว่าเอากระบุง ตะกร้า หรือว่ากระป๋อง แล้วก็มีของอะไรต่ออะไรไป แล้วก็ไปกล่าวคำถวาย แต่สงฆ์ที่นี้หมายความถึงพระอริยสงฆ์ เพราะฉะนั้น ลองคิดถึงใจของเราที่นอบน้อมต่อผู้มีคุณระดับพระอริยเจ้า จิตของเราจะนอบน้อมขนาดไหน ท่านเป็นใครเราไม่สนใจเลยทั้งสิ้น พระบวชใหม่ บวชเก่าหรือแม้แต่เณรก็ตามแต่ แต่ถ้าขณะนั้นจิตของเราน้อมถวายแก่พระอริยบุคคล ขณะนั้นจึงจะเป็นสังฆทาน
เพราะฉะนั้น สังฆทานไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำที่เราไปกล่าวมอบ หรืออะไรเลยทั้งสิ้น ขึ้นอยู่สภาพของจิตของเราในขณะนั้น ซึ่งถ้าเราเป็นผู้ที่ไม่เห็นคุณของพระรัตนตรัย หรือของพระสงฆ์ เราก็ถือว่าพระภิกษุบุคคลเป็นพระภิกษุสงฆ์ นี่ผิด เพราะว่าพระภิกษุมี ๒ ความหมาย พระภิกษุที่เป็นปุถุชน ที่ไม่ได้ทำหน้าที่ของสงฆ์ เป็นพระภิกษุบุคคล แต่ถ้าได้รับการมอบหมายจากสงฆ์ให้ทำกิจของพระศาสนา เช่น ในขณะที่ท่านจะต้องรวมกัน
ประชุมเพื่อบวชให้ใครก็ตาม หรือการทอดกฐินหรืออะไรก็ตามซึ่งเป็นกิจของสงฆ์ ต้องมีการอุปโลกน์ว่ามีใครที่เป็นสงฆ์ในการที่กระทำกิจนั้น ท่านที่ได้รับการอุปโลกน์ให้กระทำในขณะนั้นเป็นสงฆ์ ซึ่งแปลว่าหมู่ขณะ ตามพระวินัยจะมีจำนวนเท่าไร พระสูตรจะมีจำนวนเท่าไร เขาจะแสดงไว้ว่า หมู่คณะเท่าไร ในแต่ละพิธีกรรมก็มีจำนวนที่ต่างกัน
เพราะฉะนั้น ขณะที่ท่านกำลังทำกิจของสงฆ์ ถึงแม้ท่านเป็นพระอลัชชี แต่ใจของเรานอบน้อมต่อสงฆ์ เพราะสงฆ์อุปโลกน์ให้ท่านเป็นในขณะที่กำลังทำพิธีกรรม ใจของเราจะสะอาด ไม่หวั่นไหว และไม่เดือดร้อน เพราะฉะนั้น ถ้าเราเป็นคนที่มีความนอบน้อมต่อสงฆ์จริงๆ เป็นนิจศีล เป็นปกติ เห็นพระภิกษุรูปไหน เราก็ไหว้ได้ เคารพได้ คิดถึงพระอริยสงฆ์ได้ นอกจากพระที่ขณะนั้นกำลังทำสิ่งที่ผิดพระวินัย อันนั้นไม่ใช่แน่ จะเป็นพระอริยเจ้าได้อย่างไร พระอริยเจ้าจะไม่ทำอย่างนั้น คฤหัสถ์มีสิทธิที่จะไม่แสดงความเคารพเพื่อพระธรรมวินัย ให้ท่านรู้สึกตัวว่าท่านทำผิด
นี่ก็เป็นเรื่องของจิตใจ แล้วก็เวลาที่เราทำอะไรให้บุคคลไหนก็ตาม ในลักษณะให้ โดยฐานะของอนุเคราะห์ หรือว่าในลักษณะให้ของการบูชาได้ทั้ง ๒ อย่าง ถ้าในลักษณะของอนุเคราะห์ คือให้คนที่ต่ำกว่า ถ้าในลักษณะของสงเคราะห์ คือให้คนที่เสมอกัน เราช่วยเหลือกันได้ นี่เป็นการสงเคราะห์ แต่ถ้าให้ผู้ที่มีคุณ ก็เป็นการบูชา
เพราะฉะนั้น ไม่ได้เป็นการเจาะจงหรือเจาะจงก็ต้องแล้วแต่สภาพจิตในขณะนั้น คนอื่นบอกไม่ได้เลย