สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๔๔
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๔๔
ผู้ฟั ตามความเข้าใจผม ถ้าอย่างที่อาจารย์พูด มันก็จะเข้าเป็นธัมมานุปัสสนาหมด ใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์ นั่นเราเรียกชื่อ จริงๆ แล้วก็ต้องรู้ทั้งหมด เหตุผล คือ ถ้ายังไม่รู้ก็เป็นพระอริยบุคคลไม่ได้ เหตุผลน้อยกว่านั้นอีก ต่ำกว่านั้นอีก คือว่า ถ้ารู้ไม่ทั่วก็ไม่สามารถประจักษ์การเกิดดับได้ เพราะขณะนี้สภาพธรรมเกิดดับสืบต่อเร็วมาก ไม่มีการเลือกเลยว่าจะทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แล้วแต่สภาพธรรมใดปรากฏ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ทั่วก็คือว่า ไม่สามารถเข้าใกล้ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งเกิด และดับเร็วมาก แต่การที่จะประจักษ์ลักษณะที่เกิดดับของสภาพธรรมได้ สติ และปัญญาต้องอบรมเจริญจนกระทั่งแม้ว่าสติปัฏฐานจะเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมใด ไม่หวั่นไหวเลย เป็นพละ ทิ้งได้ทันที ไม่มีความเยื่อใยว่า เราจะต้องทำอะไรต่อไป จะต้องไปรู้ตรงนั้น ไปรู้ตรงนี้ รู้มากหนักก็ไม่ได้ เบาก็ไม่ได้ ต้องกำลังพอดี เป็นมัชฌิมาปฏิปทา นั่นเป็นเรื่องตัวตนหมดเลย เยื่อใยของความเป็นตัวตนจะออกมาโดยลักษณะประการต่างๆ
เพราะฉะนั้น ต้องเพราะสติสัมปชัญญะเจริญ จากสติปัฏฐาน เป็นสตินทรีย์ เป็นพละ เป็นอะไรก็แล้วแต่ มีกำลังเพิ่มขึ้น จนกระทั่งเมื่อระลึกแล้ว เยื่อใยไม่มี จึงสามารถที่จะระลึกลักษณะของสภาพธรรมซึ่งเกิดสืบต่อ ใกล้ชิดขึ้น เพราะเวลานี้สติเหมือนระลึกตรงนี้ แล้วก็หายไปนาน แล้วก็ระลึกตรงนี้ แล้วก็หายไปอีก แล้วก็มาระลึกตรงนี้ มันไกลกันมากที่จะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม เพราะเหตุว่ายังรู้ไม่ทั่ว การที่จะรู้ทั่วก็คือเมื่อมีการเข้าใจในลักษณะนั้นจนคลายความสงสัย เป็นวิปัสสนาญาณขั้นต้นๆ ก่อน แล้วจะถึงขั้นที่ประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมได้ โดยไม่หวั่นไหว ถึงจะประจักษ์การเกิดดับได้
เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะคิดว่าเราจะต้องตั้งต้นตรงนั้น หรือตรงนั้นอ่อน ตรงนั้นแก่ ก็คงยังเป็นตัวเราอยู่ แต่หน้าที่ของสติคือระลึก แล้วปัญญาก็คือเข้าใจ แต่ว่าค่อยๆ เข้าใจขึ้นตามเจตสิกทั้งหลายที่เกิดร่วมกันในขณะนั้น ที่กำลังทำงานพร้อมกับองค์ของมรรค เพราะเหตุว่านอกจากจะเป็นสติ ปัญญาไม่ต้องพูดถึง สัมมาทิฏฐิต้องมีแน่นอน ถ้าไม่มีสัมมาทิฏฐิ มรรคองค์อื่นๆ ก็ไม่ใช่สัมมาหมด
วิตก คือ การตรึกหรือการคิด แต่ความจริงวิตกเกิดหลังจากที่พวกจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณดับ วิตกก็เกิดแล้ว แม้ว่าเป็นเพียงทางตาที่เพียงเห็น ยังไม่ทันรู้ว่าเป็นอะไร วิตกเจตสิกก็เกิด เพราะฉะนั้น วิตกเจตสิกไม่ใช่คิด แต่การที่เราจะให้เข้าใจสภาพธรรม คือเจตสิกแต่ละชนิดได้ เราจะพูดถึงลักษณะที่พอเข้าใจได้ โดยลักษณะที่ว่า วิตกเป็นสภาพที่ตรึกหรือคิด แต่ความจริงเวลาที่เกิดพร้อมสติปัฏฐาน ไมได้คิดอย่างนี้ ถ้าคิดอย่างนี้ก็เป็นเรื่อง เพราะโดยมากเราจะคิดเรื่อง แต่ลักษณะจริงๆ อีกประการหนึ่ง ซึ่งคนมักจะไม่ได้กล่าวถึง เพราะว่าเป็นสิ่งที่รู้ยาก ก็คือ วิตกเป็นสภาพที่จรดในอารมณ์ ผัสสะเป็นสภาพที่กระทบ สติเป็นสภาพที่ระลึก ขณะนั้นก็ต้องมีเจตสิกเหล่านี้ที่เกิดขึ้นทำงาน ถ้าวิตกเจตสิกไม่จรด ปัญญาก็ไม่สามารถจะรู้ชัดได้
เพราะฉะนั้น จึงต้องมีทั้งวิตกแล้วก็ปัญญาในขณะนั้น แต่ทั้งหมดไม่ใช่เรา แล้วขณะนี้ใครจะรู้ผัสสเจตสิก ใครจะรู้วิตกเจตสิก เป็นไปไม่ได้เลย สิ่งที่จะรู้ได้ก็คือสิ่งที่สติสัมปชัญญะระลึก ก็เป็นเรื่องของการอบรมความรู้ความเข้าใจถูก แต่เรื่องจะทำต้องทิ้งหมดเลย ถ้าไม่ทิ้งก็คือเราทำ เราแน่ๆ แต่พอสติสัมปชัญญะเกิด เราเลือกอารมณ์ให้สติไม่ได้เลย ถ้าจะรู้แข็ง มีทางที่แข็งจะปรากฏไหมคะ หรือไม่มีทางก็รู้แข็งได้ แข็งนี่ แข็งธรรมดาอย่างนี้ ต้องมีทางที่แข็งจะปรากฏ หรือว่าจิตสามารถจะรู้แข็งโดยไม่ต้องอาศัยทางหนึ่งทางใดเลย
ผู้ฟัง ต้องมีครับ
ท่านอาจารย์ ต้อง มี คือ กายปสาทซึมซาบอยู่ทั่วตัว เพราะฉะนั้น เราจะรู้ได้เลยว่า แม้แต่แข็งที่จะปรากฏได้ ถ้าไม่มีกายปสาทก็ปรากฏไม่ได้ ความเป็นปัจจัยของสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย มันจะค่อยๆ เข้าใจในขณะที่สติปัฏฐานเกิด แต่ในขณะที่สติปัฏฐานเกิด ต้องเข้าใจลักษณะที่เป็นนามธรรม และรูปธรรม ก่อน ถ้ามิฉะนั้นเราก็จะไม่สามารถเข้าใจความหมายอื่นๆ ในพระไตรปิฎกเลย แล้วกายปสาทอยู่ที่ไหน
ผู้ฟัง อยู่ทั่วกาย ใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์ อยู่ทั่วกาย เพราะฉะนั้น ถ้าคุณพิชัยรู้แข็งที่นี่ คุณพิชัยต้องบอกไหมคะ เป็นธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เพราะเหตุว่าเป็นโผฏฐัพพายตนะ หรือว่าเป็นขันธ์ การศึกษาธรรม ชื่อก็บอกแล้ว ศึกษาธรรม ศึกษาคือเข้าใจถูกในธรรม เมื่อฟังแล้วก็คือมีความเข้าใจถูกในธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะรู้จักตัวธรรมว่า ธรรมไม่ได้อยู่ในหนังสือ ธรรมกำลังมีอยู่ ตลอดชีวิตของเราทุกขณะเป็นธรรมหมด ถ้าไม่ได้ศึกษาเป็นเราหมดเลย โกรธไหมคะ เรา ใช่ไหมคะ วิตกห่วงใยกังวลเดือดร้อนไหมคะ เราใช่ไหมคะ แต่ความจริงเป็นธรรมแต่ละอย่าง ไม่มีอะไรสักอย่างเดียวซึ่งปรากฏที่จะไม่มีลักษณะเฉพาะอย่างๆ แต่ผู้ที่ไม่รู้ว่า เป็นธรรม ก็ยึดถือสิ่งนั้นๆ ว่า เป็นเราหมดเลย แต่ถ้าเอามาพิจารณาผู้ที่ตรัสรู้ทรงแสดง เป็นธรรมมีชื่อต่างๆ เพื่อที่จะให้รู้ความต่างกันของธรรมแต่ละอย่าง
เพราะฉะนั้น วันนี้ ธรรมทั้งนั้น พรุ่งนี้ ก็ธรรมทั้งนั้น กี่วัน กี่เดือน ก็ธรรมทั้งนั้น แต่ถ้าไม่ได้ฟังพอ ก็เป็นเราที่จะจัดการกับธรรม แต่จัดการไม่ได้ จะไปขังไว้ จะให้อยู่ตรงนี้ ตรงนั้นไม่ได้เลย นั่นเป็นเรื่องของหนทางที่ผิด เป็นเรื่องของการไม่รู้ว่า ธรรมจริงๆ ไม่มีใครบังคับบัญชาได้เลย เป็นอนัตตา แล้วใช้คำก็ไม่ได้ ที่ว่าจะทำให้ไขว้เขว อย่างถ้าเราไปติดในชื่อของกายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธัมมานุปัสสนา เวลาที่กาย เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็งปรากฏ อะไร หมวดไหน กายานุปัสสนาหรือธัมมานุปัสสนา