สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๔๕
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๔๕
ผู้ฟัง อย่างวิธีของอาจารย์ คล้ายๆ เหมือนกระโดดข้ามขั้นไปเลย คือคล้ายๆ ธรรมเลย คือ จับสิ่งที่ละเอียดเลย แล้วมันจะละสิ่งที่หยาบไปได้เร็วมาก ค่อนข้างจะได้ผลเร็วมาก
ท่านอาจารย์ ไม่ค่ะ ต่อไปคุณพิชัยจะทราบว่า ดิฉันดึงกลับมาที่ตั้งต้น ใครจะไปไหน ไปๆ ๆ เอากลับมาใหม่ เอามาที่ หลงลืมสติกับมีสติ
ผู้ฟัง รู้สึกว่า พอห่างๆ อาจารย์มา ค่อนข้างจะหลงลืมสติมากกว่า
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมดาหรือผิดธรรมดา
ผู้ฟัง เป็นธรรมดา
ท่านอาจารย์ ถ้าใช้คำว่าจะทำแล้ว ผิดปกติทั้งนั้นเลย แต่การอบรมเจริญปัญญาที่สามารถที่จะรู้ความจริง ดับกิเลสได้จริงๆ ต้องเป็นปกติ ถ้าผิดปกตินิดเดียว โลภะอยู่ที่ไหน ที่เป็นสมุทัย เราก็เรียกชื่อ โลภะเป็นสมุทัย แต่เวลาเกิดไม่เห็น ตามไปเลย เขาถึงได้บอกว่ามีโลภะเป็นอาจารย์นำ แล้วโลภะก็เป็นลูกศิษย์ตามด้วย หนีไม่พ้นเลย แต่ว่าเวลาที่อบรมเจริญปัญญาตามปกติจริงๆ ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องช้ามาก ไม่ใช่เร็วอย่างที่คุณพิชัยคิด
ผู้ฟัง ไม่ช้าครับ
ท่านอาจารย์ ทำไมคะ ช้าสิคะ
ผู้ฟัง เร็วมาก
ท่านอาจารย์ ไม่ค่ะ ไม่ได้ไปถึงอะไรเลย นอกจากเรื่องตั้งต้น คือว่าไม่ต้องทำ
ผู้ฟัง ก็ตั้งต้นทุกวัน
ท่านอาจารย์ แล้วก็ไม่ต้องทำด้วย ไม่ต้องทำด้วย ถ้าทำก็เอากลับมาใหม่ที่ไม่ต้องทำ เป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นไม่ต้องทำ แต่รู้ จะช้ากว่า ไปทำๆ ๆ แล้วคิดว่าจะรู้ แต่ผิด ใช่ไหมคะ
เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องยากที่ว่าเราสะสมความติดข้องแสนโกฏิกัปป์มาแล้ว ทั้งอวิชชา ทั้งโลภะ หุ้มห่อบิดบังสนิท พอถึงเวลาเราจะรีบกะเทาะมันออกให้หมดเลย ไม่ให้เหลือสักนิดเดียว มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เราต้องรู้จักความจริง ต้องตรงต่อความจริงว่า การที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วการที่สติสัมปชัญญะจะมีปัจจัยเกิดขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะอะไรคะ บางคนไปคอย หรือไปรอ ยิ่งยากเข้าไปอีก เลยสติไม่มีโอกาสเกิดเลย เพราะอะไรกำลังรอ ถ้าไม่ใช่โลภะ กั้นสนิท ปิดสนิท เพราะฉะนั้น เวลาที่เป็นปกติ แล้วค่อยๆ รู้ขึ้นแม้ว่าเป็นทีละเล็กทีละน้อย แต่สามารถที่จะรู้ความจริงตรงตามที่ทรงแสดง โลภะจะปรากฏหน้าตาเครื่องกั้นตลอดทาง เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ใช่ปัญญาจริงๆ ก็ไม่สามารถที่จะละโลภะได้
ผู้ฟัง แต่มันจะท้อเสียก่อน
ท่านอาจารย์ เพราะมีเรา พอท้อปุ๊บรู้เลย เรา
ผู้ฟัง เพราะว่ามันรู้ช้าเหลือเกิน
ท่านอาจารย์ นั่นแหละคือเรา นี่คะเป็นทางที่จะหลง พอคนต้องการจะทำ แล้วทำไปเลย ก็คือไม่มีโอกาสที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีแล้ว เป็นแล้วอย่างนี้เพราะเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ใครทำเห็นได้ ใครทำได้ยินได้ ใครทำคิดนึกได้ ใครทำโลภะได้ ใครก็ทำไม่ได้ทั้งหมด พอเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยก็ไม่เอา ตัวไหนที่ไม่เอา เรา ใช่ไหมคะ ถ้ารู้ความจริงว่า เป็นธรรม อาจหาญ ร่าเริง คำนี้มีในพระไตรปิฎก คิดถึงคนที่กำลังจะผูกคอตาย รัชชุมาลา ที่คยา ในเขตที่ตรัสรู้ พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรด รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบัน คนที่จะผูกคอตาย ความทุกข์เขาแค่ไหน ถ้าเขาไม่มีความทุกข์ เขาคงไม่ไปผูก แต่เวลาที่ไม่ได้ฟังธรรม เป็นเขา ทุกข์นั้นคือตัวเขา ทนไม่ได้ แต่พอฟังธรรม ปัญญาที่สะสมมาตรง แล้วก็ได้สะสมมาแล้วอย่างดี ไม่ไปทางผิด ก็สามารถที่จะฟังเข้าใจว่า เป็นธรรมที่ไม่ใช่เขา แล้วปัญญาที่เขาสะสมมาก็เหมือนกับผู้ที่บรรลุโดยที่ว่าไม่ต้องแสดงพระธรรมมาก อย่างท่านพระสารีบุตร เพราะว่าสภาพธรรมก็กำลังมี ท่านหยั่งรู้เลยว่าต้องเกิด แล้วขณะที่เกิด ท่านรู้ลักษณะที่เกิดด้วย แล้วก็ประจักษ์การดับด้วย เพราะว่าไม่มีเรามาทำขัดขวางอยู่ตลอด ก็สามารถที่จะรู้ความจริงได้ แต่ผู้ที่จะถึงระดับนั้น เวลาที่สติปัฏฐานเกิดจะรู้เลยว่า เยื่อใยความเป็นเราหนักหนาสาหัสแค่ไหนกว่าจะสามารถที่จะละสมุทัยได้ เพราะว่าการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมจะทำให้เกิดอีกอย่างมากที่สุดเพียง ๗ ชาติ ที่แล้วมาแสนโกฏิกัปป์ นับไม่ถ้วนกับอีก ๗ ชาติที่จะเกิด ต้องเป็นปัญญาระดับไหน เป็นปัญญาจริงๆ