สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๔๖


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๔๖


    ผู้ฟัง ถ้ารู้แล้ว สามารถแจงออกมาเป็นหมวดหมู่ได้ จะไม่ดีกว่าการที่รู้แล้ว เฉยๆ หรือว่ารู้แล้วจะเป็นอะไรก็แล้วแต่

    ท่านอาจารย์ คือระหว่างที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ไม่มีคำเลย อย่างสภาพธรรมกำลังปรากฏลักษณะที่แข็ง แล้วก็มีสภาพที่รู้แข็ง แล้วก็ยังมีความรู้ถูก เห็นถูก เข้าใจถูกในแข็ง ขณะนั้นต้องพูดอะไรหรือเปล่าคะ สักคำหนึ่ง ต้องพูดไหม ไม่มีคำเลย ระหว่างที่ตรัสรู้ แต่พระบารมีที่สะสมมาทั้งหมด การตรัสรู้ของพระองค์พร้อมด้วยพระญาณซึ่งไม่เหมือนใครเลย ไม่มีใครสามารถที่จะเทียบเท่า เพราะฉะนั้น เมื่อทรงแสดงธรรม เมื่อนั้นจะมีคำที่เกิดจากการสะสมหรือบารมีที่จะทรงแสดงลักษณะของสภาพธรรมที่เหมือนธรรมดาง่ายๆ อย่างนี้ ออกมาเป็นอายตนะ ออกมาเป็นขันธ์ ออกมาเป็นอินทรีย์ ออกมาเป็นอะไรทุกอย่างตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้น

    นั่นคือผู้ที่รู้จนกระทั่งประจักษ์อย่างเหนือบุคคลใด แล้วก็ทรงแสดง ๔๕ พรรษา ซึ่งทุกคำตรงตามความเป็นจริง แต่ทีนี้ผู้ที่ฟังพระธรรม ผู้ที่เพิ่งเริ่มจะเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจถูกก็จะคิดว่า เขามีปัญญาเท่ากับพระพุทธเจ้า ถ้าแสดงเรื่องปัจจัยก็รู้เรื่องปัจจัย แสดงเรื่องนี้ก็ต้องรู้เรื่องนี้ แสดงเรื่องขันธ์ เรื่องอายตนะก็ต้องรู้ไปหมด ๔๕ พรรษาที่ทรงแสดง นั่นไม่ถูกต้อง เพราะว่ากำลังเริ่มที่จะเห็นพระปัญญา ถ้าเราเป็นผู้ที่ศึกษาพระไตรปิฎก จะเห็นความห่างไกลกันมาก ระหว่างปัญญาของผู้ที่ตรัสรู้แล้วทรงแสดงกับปัญญาของคนที่นามธรรมรูปธรรมนี่ใหม่มากเลย เคยเป็นเรามาตลอด แล้วการที่ปัญญาจะเจริญขึ้นเป็นอย่างไร ทรงแสดงไว้ไม่ให้ผิดเลย อย่างสติปัฏฐาน ถ้าคนที่ไม่รู้ก็จะทำ แต่ผู้ที่ศึกษาโดยละเอียด มีพระธรรมเป็นสรณะ ถ้าไม่มีสัจจญาณ กิจจญาณ คือ สติปัฏฐานเกิดไม่ได้ กตญาณ คือ การประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงเกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น ทรงแสดงอาการ ๓ รอบของอริยสัจ ๔ คือ ต้องมีสัจจญาณ กิจจญาณ และกตญาณ ทั้ง ๔ รวมเป็น ๑๒

    ผู้ฟัง สัจจญาณ คือ

    ท่านอาจารย์ สัจจญาณคือปัญญาที่รู้ว่า อริยสัจ ๔ คืออย่างนี้จริงๆ คือ ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ต้องมีสภาพธรรมที่เกิดแน่นอน ไม่เกิดจะมาปรากฏได้อย่างไร ต้องมีความมั่นคงว่าเดี๋ยวนี้เอง เห็นเกิด ได้ยินเกิด คิดนึกเกิด แล้วดับด้วย เกิดดับ ขณะนี้เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ปัญญาที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ไม่ไปทำอะไรอื่นที่จะเป็นตัวเรา แต่ว่าอบรมเจริญปัญญาเพื่อจะรู้สิ่งที่เกิดแล้วเพราะปัจจัยในขณะนี้ แล้วนี้เป็นอริยสัจที่ ๑ ทุกข อริยสัจ เพราะฉะนั้น ไม่มีการเลือกเลย ใครจะรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น

    สังขตธรรม หมายความถึงสภาพที่ปรุงแต่งแล้วเกิด เพราะว่าคำว่า “ธรรม” จะมีคำใช้อยู่ทั่วไป คือ สังขารธรรม สภาพใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นต้องมีปัจจัยปรุงแต่ง คนไม่รู้ก็คิดว่าเกิดขึ้นมาเอง หรืออาจจะไม่คิดอะไรเลย เหมือนอย่างตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าของเรา เพียงกระทบแข็ง ไม่เห็นเป็นไรเลย แต่ผู้มีปัญญารู้ว่า นี่ต้องเกิด แข็งนี่ต้องเกิด ถ้าไม่เกิดไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ที่ปรากฏเพราะเกิด ถ้าเข้าใจอย่างนี้จริงๆ มีความละเอียดจริงๆ เป็นผู้ที่ละคลายจริงๆ สามารถประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปของแข็งตามปกติธรรมดา และรู้ความต่างของแต่ละทวารทั้ง ๖ ทวารได้ว่า ทางทวารนี้ไม่ใช่ทวารนั้น แต่ไม่มีชื่อ ไม่ใช่ต้องใส่ชื่อเข้าไป แต่ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตรงตามลักษณะของทวาร อย่างได้ยินขณะนี้ตามปกติ ก็จะต่างกับเห็น เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาก็อย่าง หนึ่ง และเสียงที่ปรากฏทางหู ไม่ได้อาศัยตาที่จะเห็นได้เลย

    นี่ก็เป็นเรื่องที่สัจจญาณต้องมีความมั่นคง ถ้าเรายังไม่มั่นคงไม่ต้องไปคิดเรื่องสติปัฏฐานเลย ให้เรามีสัจจญาณที่มั่นคง แล้วก็เป็นหน้าที่ของปัญญาระดับนั้นที่จะทำให้การระลึก เพราะรู้จนกระทั่งมั่นคงแล้ว ก็มีปัจจัยที่จะเกิดสติระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นปัจจุบันที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้ ไม่อย่างนั้นไม่ทรงแสดงอาการ ๓ รอบของอริยสัจ ๔ เพื่อที่จะไม่ให้คนคิดว่า ไม่รู้อะไรก็ไปปฏิบัติแล้วปัญญาก็เกิดได้ ถ้าเราศึกษาแล้วเราก็รู้เลย ไม่เป็นเหตุเป็นผลเลย ปัญญาต้องมาจากการฟังเข้าใจก่อน จนกระทั่งมั่นคงเป็นสัจจญาณจริงๆ ถ้าเป็นสัจจญาณจริงๆ สติระลึก ไม่มีบรรพ ไม่ต้องห่วงเลย ไม่ต้องคิดเลย ภายหลังถึงสามารถที่จะรู้ในความเป็นขันธ์ จะรู้ในความเป็นขันธ์ก็ต่อเมื่อสภาพนั้นเกิดแล้วดับ เพราะว่าขันธ์หมายความถึงสิ่งที่มีในขณะนี้เกิดแล้วก็ดับด้วย

    เพราะฉะนั้น อดีตคือสิ่งที่ดับไปเมื่อกี้นี้ อนาคตก็ยังไม่มาถึง จึงเป็นอนาคตในขณะที่กำลังเป็นปัจจุบัน และปัจจุบันนั้นก็ดับ เพราะฉะนั้น ก็รู้กาลทั้ง ๓ ของสภาพธรรมว่า มีทั้งที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน ถ้าปัจจุบันไม่มี อดีตไม่มี อะไรจะดับ ถ้าปัจจุบันไม่มี อดีตไม่มี อนาคตก็ไม่มีด้วย แต่อนาคตที่ยังมาไม่ถึงยังไม่ใช่ปัจจุบัน แล้วปัจจุบันที่ดับเป็นอดีต แล้วที่เกิดต่อจากปัจจุบัน ก็คืออนาคตมาถึงแล้ว

    เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมนั้นฟังเพื่อเข้าใจ แล้วไม่ต้องห่วง ไม่มีความเป็นตัวเรา คลายความเป็นเราที่จะทำ นั่นถึงจะถูกต้อง แต่ถ้าฟังแล้วจะทำ ก็คือว่า ความเข้าใจขั้นฟังเป็นอย่างหนึ่ง แล้วการที่มีความเป็นเราจะทำก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ก็ไม่ตรง

    ผู้ฟัง แล้วเมื่อไรจะมั่นคงเสียที

    ท่านอาจารย์ นี่คือความหวัง การคอย สิ่งที่ทำให้เราอยู่ในสังสารวัฏฏ์ที่ออกไม่ได้ ก็คือตัวนี้ เขาฉลาดแนบเนียนมาก ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ทรงเปล่งพระวาจาอุทานว่า เรารู้จักนายช่างเรือนแล้ว สร้างภพสร้างชาติให้อยู่ จากโลกนี้ก็ไปโลกหน้า จากชาตินี้ก็ไปชาติหน้า ไม่มีวันออกไปเลย เราอยู่มาแล้วนานเท่าไร ถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงว่า สัจจะทั้ง ๔ ลึกซึ้ง ไม่เว้นสักสัจจะเดียว ทุกขอริยสัจจะลึกซึ้ง กำลังเกิดดับก็ไม่ปรากฏ สมุทัยก็ลึกซึ้งพาไปได้ตลอด เมื่อไรเราจะ ใช่ไหมคะ นี่ก็คือเขาพาอีกแล้ว เขาจะมาได้ง่ายมาก เพราะฉะนั้น ปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ว่า ขณะนั้นเป็นโลภะ แล้วถึงโลภะจะไม่มาตรงนั้น เพราะว่าปัญญารู้ว่าตรงนั้นเป็นโลภะ ศัตรูตรงกันข้าม หรือว่าสิ่งที่โลภะกลัว ถ้าจะใช้คำธรรมดา อย่างเดียว คือปัญญาที่รู้ลักษณะของโลภะ


    หมายเลข 9452
    20 ส.ค. 2567