สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๔๗
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๔๗
ผู้ฟัง ส่วนมากปัญญามันจะเกิดไม่ทัน
ท่านอาจารย์ นี่ไงคะ เรา เราจะมีอยู่ตลอด จนกว่าเมื่อไรเรารู้ว่า นั่นก็คือเราๆ ความหวังใดๆ ก็เพราะมีเราอยู่ จะเมื่อไรก็เมื่อนั้น เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีปัจจัยของได้ยิน ได้ยินจะเกิดได้ไหม แล้วเราจะไปบอกว่า เมื่อไรจะได้ยิน มันไม่มีปัจจัยที่จะให้ได้ยินเกิด ได้ยินจะเกิดได้อย่างไร เมื่อไม่มีปัจจัย คือ เสียง แม้ว่ามีโสตปสาท แต่เสียงไม่เกิด ถ้าเสียงไม่เกิด แล้วก็จะเกิดได้ยินขึ้นอย่างไร เพราะฉะนั้น เมื่อไม่มีปัจจัยของเสียง แล้วเราก็บอกว่า เมื่อไรจะได้ยินๆ ก็เหมือนกับไม่มีปัจจัยของสติปัฏฐาน แล้วเราก็จะคิดว่า เมื่อไรสติปัฏฐานจะเกิด แต่สติปัฏฐานเป็นอนัตตา มีเหตุปัจจัยของสติปัฏฐาน สติปัฏฐานก็เกิดแน่นอน ช้าหรือเร็วนั้นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ช้าเพราะรอ ช้าเพราะคอย ก็กั้นไปเรื่อยๆ ต้องอาจหาญร่าเริงจริงๆ นะคะ โดยเฉพาะคนที่ไปสำนัก แล้วก็เคยทำ แล้วก็เคยหวัง แล้วก็รู้สึกเหมือนกับว่าได้ใช้ความพยายามเต็มที่ เหมือนกับว่าต้องมีวิริยะ อะไรอย่างนี้ แต่ว่าไม่รู้ว่าวิริยะมีทั้งสัมมา และมิจฉา มีทั้งกุศล และอกุศล กว่าจะตัดใจได้ มีความอาจหาญร่าเริงว่า ไม่ต้องทำ แล้วก็เป็นปกติ แล้วเขาก็ค่อยๆ เจริญขึ้น เวลานี้ถูกเขาหุ้มห่อ
ผู้ฟัง พอเป็นปกติมันก็มักจะลืมสติมากขึ้น
ท่านอาจารย์ นั่นนะสิคะ
ผู้ฟัง นั่นคือการเป็นปกติ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น คนจะไม่กล้าที่จะทำ
ผู้ฟัง แล้วก็เดือดร้อน
ท่านอาจารย์ นั่นสิคะ เพราะความเป็นเรา ความเป็นเราไม่อาจหาญร่าเริงที่จะเป็นปกติแล้ว เมื่อมีเหตุปัจจัย เมื่อมีเหตุปัจจัย ถ้าปัญญามี ก็เกิดแน่นอน แต่ถ้าไม่เกิดก็หมายความว่ายังไม่พอ
ผู้ฟัง แล้วเราจะสร้างเหตุปัจจัยขึ้นมาได้ไหม
ท่านอาจารย์ ก็นี่แหละค่ะ เราอีกแล้ว ก็ไม่พ้นเลย เขาผูกเอาไว้ มากมายมหาศาลเลย เมื่อไรอาจหาญร่าเริงจริงๆ มีความรู้ว่า เราสะสมอกุศลมานานเท่าไร แค่นี้ค่ะ แสนโกฏิกัปป์ ทั้งอวิชชากับโลภะ แล้วจะให้เรามีสติปัฏฐานมากๆ ให้รู้แจ้งสภาพธรรมเร็วๆ ก็เป็นสิ่งที่เลื่อนลอย แล้วก็ห่างไกลไปเลย เพราะเหตุว่าเป็นไปด้วยความหวัง ยิ่งไปทำอย่างอื่นขึ้นมาก็ยิ่งไปเลย ไม่สามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะเกิดแล้ว เพราะว่าจริงๆ หนทางนี้เป็นหนทางละ รู้แล้วละ แต่ถ้าหนทางอะไรที่ใครมาสนับสนุนให้เราเพียรมากๆ เพื่อจะได้ ถ้าเราพิจารณาจริงๆ แล้วเราไม่เอาหนทางนั้น เพียรเพื่อจะได้ กับรู้ความจริงแล้วละคลาย ถ้าไม่ละคลายก็จะไม่มีความรู้ขั้นต่อไปขึ้นไปอีก เพราะว่าถ้ายังคงติดข้องอยู่ก็ปิดกั้น การที่จะรู้ยิ่งขึ้นๆ ๆ ๆ เพราะฉะนั้น ปัญญาต้องรู้โลภะอย่างละเอียดขึ้นๆ ตามลำดับ แม้แต่เยื่อใยเล็กน้อยสักเท่าไรก็รู้ว่า ขณะนั้นก็เป็นโลภะ
ผู้ฟัง พอรู้แล้ว รู้ขั้นละเอียดขึ้นไปแล้ว มันเป็นไปได้ไหมที่จะหลงลืมอีกแล้วก็ไม่รู้อีก
ท่านอาจารย์ มีอวิชชาอยู่หรือเปล่า หรือหมดไปเลย นี่ก็เป็นคำตอบ เพราะฉะนั้น ผู้นั้นก็รู้ความต่างกันของความเป็นอนัตตาด้วย บังคับบัญชาไม่ได้ด้วย เมื่อเกิดขึ้นรู้แค่ไหนก็แค่นั้น แล้วเมื่อรู้ขึ้น ก็รู้ขึ้น
คุณพิชัยคงทราบเรื่องการจับด้ามมีด พออยากจะได้เร็วๆ ก็จับด้ามมีดเลย
ผู้ฟัง จับให้มันสึกบ่อยๆ แล้วมันก็ไม่สึกเสียที
ท่านอาจารย์ ด้วยความหวัง ถ้าเป็นปัญญา ปัญญาเขาทำหน้าที่ของเขา เขาต้องอดทนมาก ขันติเป็นตบะอย่างยิ่ง ให้รู้เลย ไม่มีอะไรที่จะอดทนเท่าการอบรมเจริญปัญญา เพราะว่าเป็นเรื่องละ ถ้าเป็นเรื่องสนับสนุนส่งเสริมให้พากเพียร รู้สึกทำกันได้ คืนหนึ่งไม่นอนก็ได้ ๒ คืน ๓ คืน ก็ได้เพื่อที่จะได้ เพื่อที่จะเอา แต่นั่นผิด