สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๔๙


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๔๙


    ท่านอาจารย์ คำถามง่ายๆ ถามคุณพิชัยว่า กุศลเป็นเรื่องละหรือเรื่องติด กุศลทุกชนิดเลย

    ผู้ฟัง กุศลหรือครับ

    ท่านอาจารย์ กุศลเป็นเรื่องละหรือเรื่องติด เป็นความติดหรือเป็นการละ ไม่ว่าจะเป็นกุศลขั้นไหนก็ตาม

    ผู้ฟัง ติดครับ

    ท่านอาจารย์ กุศลนะคะ ถ้าติดเป็นโลภะ เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นสภาพที่ดีงามเป็นกุศล จะไม่ใช่การติด

    ผู้ฟัง อย่างสมมติเราเลือกเฉพาะอารมณ์ที่เป็นกุศลอย่างเดียว

    ท่านอาจารย์ โลภะเขาติดได้ทุกอย่างเลย เว้นนิพพานกับโลกุตตรธรรม

    ผู้ฟัง ถ้าเป็นนิพพาน ไม่มีกุศล ไม่มีอกุศลไม่ใช่หรือครับ

    ท่านอาจารย์ โลภะติดนิพพานไม่ได้ เพราะว่าโลภะไม่มีวันจะถึงนิพพานได้เลย โลภะติดโลกุตตระไม่ได้ นอกจากนั้นแล้วโลภะติดได้หมดเลย ทุกอย่าง เว้นโลกุตตรธรรม

    ผู้ฟัง โลกุตตระยังเป็นกุศลอยู่ ใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ โลกุตตรมรรคเป็นกุศล โลกุตตรผลเป็นวิบาก นิพพานไม่ใช่กุศล ไม่ใช่วิบาก แต่สิ่งที่เราจะน่าพิจารณา เพราะว่าการที่จะเข้าใจธรรมให้ถูกต้อง จะขาดการพิจารณาแง่นั้นมุมนี้โดยละเอียดไม่ได้ เพราะเหตุว่าถ้าเราขาดตกบกพร่อง ความรู้ของเราก็ไม่สมบูรณ์ เพราะฉะนั้น เพียงแค่คิดว่า กุศลเป็นเรื่องละ หรือเป็นเรื่องติด กุศลทุกประเภทเลยเป็นเรื่องละหรือเป็นเรื่องติด เป็นการละหรือเป็นการติด ที่ใช้คำว่า กุศล เป็นสภาพธรรมที่ดีงาม จิต เจตสิกที่ดีงาม ติดหรือละ

    ผู้ฟัง ละ

    ท่านอาจารย์ ละ เพราะฉะนั้น การที่จะไปนั่งสมาธิหรือทำสมาธิ ละอะไร

    ผู้ฟัง ละความวุ่นวาย

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่ใช่ละอวิชชา

    ผู้ฟัง ถ้าสมมติว่า

    ท่านอาจารย์ เป็นเรื่องความต้องการไม่วุ่นวาย

    ผู้ฟัง มันมีแต่ความกระวนกระวาย มีแต่เรื่อง สติมันไม่เกิดแน่นอน มันมืดเลย

    ท่านอาจารย์ เราจะต้องไปอยากได้สติ ใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง คือเราจะไม่ได้ระลึกเลยทั้งวัน

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อน ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีอะไร

    ผู้ฟัง ระลึกจิตทุกดวง

    ท่านอาจารย์ นิวรณ์ค่ะ นิวรณ์คืออกุศลจิต เป็นอารมณ์ของสติ และปัญญาได้ เพราะว่าถ้าขณะนั้นสติสัมปชัญญะไม่เกิด นิวรณ์นั้นเป็นเรา ความกลุ้มรุม ความวุ่นวาย ความอะไรสารพัดอย่างที่กังวลใจ เป็นเราหมดเลย แต่ความจริงเป็นธรรม

    นี่คือสิ่งที่เราลืมไม่ได้เลย แล้วเมื่อไรเราจะรู้ว่า ขณะนั้นเป็นธรรม ถ้าเรายังหลบเลี่ยงไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจะรู้ว่า ขณะนั้นไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น จะไม่มีวันที่จะเป็นสติปัฏฐานที่เรารอคอยว่าเมื่อไรสติปัฏฐานจะเกิด แล้วจะเกิดบ่อยๆ จะเกิดบ่อยๆ ก็คือไม่ว่าสภาพธรรมนั้นเป็นอะไร ปัญญาสามารถรู้ ถ้าไม่รู้ ปัญญาก็ไม่สามารถที่จะถึงขั้นที่ไม่ใช่เราได้ เพราะว่าตรงนั้นยังเป็นเราอยู่ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่มีจริง อกุศลจิต กุศลจิต อะไรๆ ก็ตามทั้งหมด ทั้งรูปทั้งนามเป็นอารมณ์ของสติปัฏฐาน เพื่อที่จะรู้ชัดว่า ไม่ใช่ตัวตน เป็นนามธรรม และรูปธรรม

    เพราะฉะนั้น ทุกอย่างต้องสอดคล้อง แล้วก็จะทำให้เรามีความอดทน แล้วรู้เลยว่าอดทนอะไรก็ไม่อดทนเท่ากว่าสติปัฏฐานจะเกิด เพราะว่าไม่ได้อย่างใจเลย อยากจะได้ก็ไม่ได้ อยากจะให้เกิดก็ไม่เกิด อยากจะให้เกิดเยอะๆ ยิ่งคิดยิ่งไม่เกิด แต่เวลาที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ละความไม่รู้ออกไป แม้แต่ในขั้นการฟัง ทีละเล็กทีละน้อย เมื่อละความไม่รู้จากการฟัง ก็ทำให้สติปัญญาสามารถที่จะมีความมั่นคงเป็นสัจจญาณ ถึงแม้ว่าสติปัฏฐานจะไม่เกิดในชาตินี้ แต่มีสัจจญาณ สัจจญาณนั่นแหละจะเป็นปัจจัยให้เกิดกิจจญาณ ซึ่งเป็นสติปัฏฐาน เพราะฉะนั้น เราไม่ได้ไปหวังจะได้ แต่เรารู้ว่า เป็นเรื่องละ ต้องด้วยความรู้ความเห็นถูกเท่านั้นถึงจะละได้ มิฉะนั้นเราจะถูกโลภะพาไปในสังสารวัฏฏ์ ไปทางโน้นบ้าง ไปทางนี้บ้างตลอดเวลา


    หมายเลข 9455
    20 ส.ค. 2567