สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๕๑
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๕๑
ท่านอาจารย์ ถ้าเราลองคิดถึงตลอดชีวิตของเราที่ผ่านมา นานแสนนาน เราอยู่ที่ไหน เราคงอยู่ในป่าเต็มไปด้วยต้นไม้เยอะแยะในป่านั้น หลงเป็นชาวป่าอยู่นานแสนนานเลย จนกระทั่งมีคนพาเราออกจากป่ามาถึงที่ที่มีแม่น้ำกว้างใหญ่ แล้วอีกฝั่งไม่มีเรื่องที่จะต้องลำบากเลย เป็นสิ่งที่พ้นจากป่าที่ยุ่ง สารพัดยุ่ง แล้วเรากำลังอยู่ที่ริมตลิ่ง แม่น้ำนั้นก็กว้างใหญ่สุดสายตา แต่อีกฝั่งเรามองเห็นว่า มันเป็นฝั่งที่ตรงกันข้ามกับฝั่งนี้โดยสิ้นเชิง เราจะไม่เอาล่ะ ไม่ไปหรอกฝั่งโน้น กลับไปอยู่ป่าดีกว่า หรือว่าต่อให้ถึงจะกว้างใหญ่สักเท่าไรก็ตาม เรากำลังมีคนสอนเราให้ทำเรือสิ ทำอย่างนี้ๆ ๆ สำหรับเพื่อที่จะข้ามไปถึงฝั่งโน้นได้ เราจะกลับไปสู่ป่า หรือว่าจะฟัง แล้วก็ค่อยๆ สร้างเรือที่จะใช้สำหรับนำไปสู่อีกฟากหนึ่ง แล้วระหว่างนั้นจะต้องมีทั้งมหาสมุทร มีทั้งอะไรสารพัดอย่าง แต่ถ้าเรือของเรามั่นคง แล้วเราก็เห็นประโยชน์จริงๆ ของการที่เราจะไม่อยู่ในฝั่งนี้อีกต่อไป เราก็ค่อยๆ พากเพียรไป ทั้งๆ ที่อยู่ท่ามกลางแม่น้ำ ก็ไม่ละทิ้ง แต่ว่าเพียรต่อไปๆ เหมือนพระมหาชนก แล้ววันหนึ่งเราก็ถึงฝั่งนั้นได้ แต่ว่าความกว้างใหญ่ของโอฆะ หรือแม่น้ำนี้ กว้างสุดสายตา เราหวั่นไหวไหม เราท้อถอยไหม เรายังจะจมอยู่ต่อไป หรือว่าจะกลับเข้าไปอยู่ในป่าเหมือนเดิม ไม่มีทางจะเห็นว่า ที่จะพ้นออกมาจากความวุ่นวายทั้งหลายได้
นี่ก็เป็นเรื่องที่ว่า ถ้าใครก็ตามที่ไม่พบหนทางนี้ ไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ผู้ที่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้เคยอยู่มาก่อนนานเท่าไรในฝั่งนี้ แล้วการบำเพ็ญพระบารมีที่จะถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งกว่าใคร ๔ อสงไขยแสนกัป เมื่อเป็นผู้ที่ยิ่งด้วยปัญญา ถ้าเป็นผู้ที่ยิ่งด้วยศรัทธา ๘ อสงไขยแสนกัป ถ้าเป็นผู้ที่ยิ่งด้วยวิริยะ ๑๖ อสงไขยแสนกัป เพราะรู้ว่าหนทางมี แต่หนทางนั้นมีหลายอย่าง คือหนทางที่รู้ด้วยตัวเอง แต่ว่าไมได้สอนบุคคลอื่น ที่จะให้พ้นทุกข์ออกจากฝั่งนี้ไปด้วยกัน ให้ไปสู่อีกฝั่งหนึ่ง กับผู้ที่มีความกรุณามาก เห็นว่าคนเดียว แล้วทำไมคนอื่นเขายังมีความทุกข์เหมือนคนตาบอด คนตาบอดเป็นล้านเป็นพันกี่แสนโกฏิก็อยู่ในป่าด้วยกัน ป่าที่วุ่นวายแล้วตาบอดด้วย ถ้ามีทางช่วยเขาเหล่านั้น จะช่วยไหม
เพราะฉะนั้น จึงตั้งความปรารถนาที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพบหนทางแล้ว ยังแล้วแต่ว่าใครมีบุญที่ได้สะสมมาในปางก่อน มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม แต่ไม่ใช่เพียงฟัง ต้องมีศรัทธา มีปัญญาที่สะสมมาที่จะพิจารณาอย่างละเอียด เพราะพระธรรมที่ทรงแสดงไม่ง่าย เป็นเรื่องที่ยาก แต่ไม่ใช่สุดวิสัย เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏมีจริง พร้อมที่จะให้พิสูจน์ทุกขณะ แล้วก็แต่ละขณะก็เป็นการที่จะข้ามฝั่งไปอีกฝั่งหนึ่ง ที่ไกลก็ค่อยๆ ใกล้ขึ้นทีละนิดทีละหน่อย จนวันหนึ่งก็ถึงได้ แล้วผู้ที่ไปถึงแล้วมีมากมายเลย แล้วก็อาจจะกวักมือเรียก หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าท่านเหล่านั้นท่านก็ปรินิพพานไปแล้ว แต่ธรรมที่แสดงเหมือนเชิญชวนให้ไปดูความจริง ให้ไปรู้ความจริงว่า หนทางนี้มี นิพพานมี เป็นอะไรๆ ก็แล้วแต่ ที่จะเป็นการสรรเสริญพระคุณของพระรัตนตรัย แล้วเราอยู่ฝั่งนี้ ก็เลือกเอาก็แล้วกันว่า เราจะหันหลังกลับไปตาบอดอยู่ในป่า หรือว่าจะค่อยๆ ไปด้วยความอดทน ถ้าเรามีความมั่นใจ มีความมั่นคงจริงๆ มีสัจจญาณจริงๆ ต้องถึง เพราะปัญญาจะพาไปไหนคะ พาไปสู่ความเห็นถูกต้องยิ่งขึ้น แต่ถ้าเป็นความเห็นผิดแม้สักนิดเดียว พาไปไหน ก็พาไปทางอื่นที่ไม่ใช่หนทางที่เป็นการอบรมเจริญปัญญาจริงๆ
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์อุปมาได้ดีมากเรื่องเกี่ยวกับสร้างเรือที่จะข้ามฝั่ง การที่เราจะสร้างเรือข้ามฝั่งคนเดียว มันก็เป็นของอาจจะได้เรือเล็กๆ แล้วอาจจะไม่แข็งแรงพออาจจะโดนลม โดนคลื่นกระทบไปกระทบมา ก็อาจจะถึงลำบาก แต่การที่เรามีกัลยาณมิตรหลายๆ คน ช่วยกันสร้างเรือ ช่วยกันพากันไป ให้กำลังใจกันไปแล้วช่วยกันสร้างข้ามฝั่ง อาจจะเป็นประโยชน์มากขึ้น เพราะว่าหนทางข้ามฝั่งมีอยู่แล้ว เพียงแต่ เราจะร่วมกัน ช่วยเหลือซึ่งกัน และกันที่พากันข้ามฝั่ง อันนั้นก็ขอให้พิจาณาดูก็แล้วกัน
ท่านอาจารย์ กิเลสก็มากมายมหาศาล ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับ ก็คงจะคิดย้อนไปก็แล้ว กัน ชาตินี้แค่ไหน ชาติก่อนๆ แค่ไหน แม้แต่พระธรรมที่ทรงแสดงกับท่านพระราหุล เพราะเหตุว่าท่านพระราหุลตอนที่บวช ท่านก็ยังอายุไม่มาก เพราะฉะนั้น จิตของท่านก็อาจจะยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะได้ เพราะฉะนั้น ก็ทรงแสดงพระธรรม อุปมาท่านพระราหุลว่า เหมือนกับเรือซึ่งเต็มไปด้วยรัตนะ เพราะว่าท่านสะสมมาถึงกาลที่จะเป็นถึงพระอรหันต์ แต่เรือนั้นก็อาจจะรั่วได้ เพราะฉะนั้น ถ้ามีรอยรั่ว ถึงแม้ว่าจะบรรทุกรัตนะมาเต็มก็จม เพราะฉะนั้น ประมาทไม่ได้เลย