สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๕๕
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๕๕
พูดถึงชาติของจิต ก็น่าสนใจ เพราะว่าชาติหมายความถึงการเกิดขึ้น ขณะนี้ที่ทุกคนกำลังมีจิต หมายความว่าเพราะจิตเกิดขึ้น จึงได้ปรากฏ เป็นสภาพรู้ เป็นสภาพคิด ก็แล้วแต่ว่าจะเห็นหรือจะได้ยิน เพราะฉะนั้น ชาติของจิต เมื่อจิตเกิดขึ้นต้องมีเป็นจิตประเภทหนึ่งประเภทใดใน ๔ ชาติ เพราะว่าจิตมี ๔ เป็นกุศลจิต เป็นจิตที่ดีงาม ชาติหนึ่งเกิดเป็นกุศล ขณะใดที่กุศลจิตเกิดจะเปลี่ยนกุศลจิตนั้นให้เป็นอื่นไม่ได้เพราะว่าจิตเกิดแล้วก็ดับทันที เราคงจะไม่รู้เลย ถ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ ไม่ทรงแสดงว่า ความรวดเร็วของการเกิดดับของจิต ไม่มีใครสามารถที่จะประมาณได้ เราก็อาจเข้าใจเพียงว่าเมื่อเกิด ก็คือยังไม่ตาย แล้วดับ ก็คือตอนที่ตาย แต่นั้นไม่ถูกต้องเลย เพราะว่าตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ จิตเกิดดับนับไม่ถ้วนเป็น ประเภทต่างๆ เช่น จิตที่ดี จะเป็นอย่างเดียว ขณะเดียวกับจิตที่ไม่ดีไม่ได้
เพราะฉะนั้น แสดงว่าจิตเกิดแล้วก็ดับ แล้วก็เกิดแล้วก็ดับ แต่ว่าจิตที่เกิดดับสามารถที่จะต่างกันเป็น ๔ ชาติ คือ เกิดเป็นอกุศลชาติหนึ่ง เกิดเป็นกุศลก็อีกชาติหนึ่ง ทั้ง ๒ อย่าง คือ ทั้งกุศล และอกุศลเป็นจิตที่เป็นเหตุที่จะให้เกิดจิตที่เป็นผล เมื่อเหตุคือจิต ผลก็คือจิตนั่นเอง จิตที่ทำกรรมใดไว้ ก็เป็นปัจจัยทำให้จิตที่เป็นผลของการกระทำนั้นเกิดขึ้น ซึ่งภาษาไทยเรามักจะพูดว่า รับผลของกรรม เราพูดบ่อยๆ ว่า รับผลของกรรม แต่จิตที่เป็นกรรมจะมารับผลของกรรมไม่ได้ จิตที่เป็นกรรมดับไปแล้ว ทำกรรมนั้นหมดไปแล้ว แต่เป็นปัจจัยที่จะให้เกิดจิตอีกประเภทหนึ่งซึ่งเป็นผลของกรรม ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า วิ ปาก จิต ซึ่งภาษาไทยเราใช้คำว่า วิบาก แต่ว่าวิบากในภาษาไทยที่เราใช้ความหมายไม่ตรงกับภาษาบาลีในพระพุทธศาสนา เพราะว่าเราคิดว่า วิบาก คือ ลำบาก แต่ว่าในทางพระพุทธศาสนา วิบากต้องเป็นจิต และเจตสิก เจตสิกก็คือสภาพธรรมที่เกิดกับจิต ไม่เกิดกับรูปเลย เช่น ความขยัน ความโกรธ ความเมตตา ทุกอย่างเหมือนกับเป็นเราในชีวิตประจำวัน แท้ที่จริงก็คือจิตเจตสิกซึ่งเกิดพร้อมกัน แล้วดับพร้อมกัน
เพราะฉะนั้น เวลาที่จิตที่ดีเกิดขึ้น เพราะเจตสิกที่ดีเกิดร่วมด้วย เพราะว่าจิตจริงๆ ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย จะดีหรือชั่วแล้วแต่เจตสิก คือ สภาพธรรมอีกประเภทหนึ่งซึ่งเกิดกับจิต เมื่อจิตที่เป็นกุศลดับ เป็นเหตุ จะเป็นปัจจัยให้จิตที่เป็นผลของกุศล ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า กุศลวิบากจิตเป็นจิตที่เป็นผลเกิดขึ้น
ในพระพุทธศาสนาจะมีคำที่แสดงสภาพธรรมอย่างละเอียด เมื่อพูดถึงเรื่องกรรม ได้แก่เจตนาเจตสิก เป็นปัจจัยให้เกิดผลซึ่งมีการรับผลของกรรม หรือว่าจิตที่เกิดที่เป็นวิบากเป็นผลของกรรมมีอยู่ทั้งวัน แต่เราไม่เคยรู้เลยว่า ขณะไหนเป็นกรรม ขณะไหนเป็นผลของกรรม
เพราะฉะนั้น เวลาที่ผลของกรรมที่เราจะเห็นได้ ขณะจิตแรกที่เกิดในชาตินี้ การที่จะเป็นแต่ละบุคคลที่มานั่งอยู่ที่นี่ได้ ต้องมีจิต และเจตสิก และรูป ๓ อย่าง ไม่ใช่มีแต่จิต เจตสิก แต่มีรูปด้วย รูปหมายความถึงสิ่งที่มีจริง เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถจะรู้ได้เลย ไม่สามารถจะเห็น ไม่สามารถจะได้ยิน ไม่สามารถที่จะหิว ลักษณะแข็งมีจริง แต่คิดอะไรไม่ได้ เจ็บไม่ได้ ลักษณะแข็งเป็นรูปธรรม กลิ่น เสียง พวกนี้
เพราะฉะนั้น รูปในพระพุทธศาสนาไม่ได้หมายความถึงเฉพาะสิ่งที่เราเห็นเป็นรูปภาพต่างๆ แต่สิ่งใดก็ตามแม้มองไม่เห็น แต่สิ่งนั้นมีจริง และสิ่งนั้นไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้เลย สิ่งนั้นเป็นธรรมอย่างหนึ่ง แต่เป็นธรรมฝ่ายที่เป็นรูปธรรม แต่ว่าโลกนี้ก็ไม่ได้มีแต่รูปธรรม มีธาตุอีกชนิดหนึ่ง หรือจะกล่าวว่า มีธรรมอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งธรรมกับธาตุ ความหมายเดียวกัน หมายความว่าเป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน แต่ไม่ใช่ใครสักคนหนึ่ง แต่เป็นสภาพธรรมที่มีลักษณะเฉพาะอย่างๆ
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่มีแต่รูปธาตุ แต่มีนามธาตุ คือ ธาตุอีกชนิดหนึ่ง ถ้าเราศึกษาวิชาการทางโลก เราจะเรียนเรื่องรูปธาตุต่างๆ โดยวิชาเคมี หรือฟิสิกส์ หรืออะไรก็แล้วแต่ วิชาทั้งหมดจะเป็นไปในเรื่องของรูปธาตุ แต่เขาไม่สามารถที่จะหยั่งรู้ถึงธาตุรู้ ซึ่งเป็นนามธาตุ ไม่มีรูปร่าง ไม่มีลักษณะ ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี ไม่มีเสียง แต่ทันทีที่จิตเกิดต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น ในขณะนี้ที่กล่าวว่าทุกคนมีจิต จิตเกิดขึ้นทำกิจการงาน โดยที่เราไม่เห็นตัวของจิต แต่เห็นการงานหน้าที่ของจิต เช่นในขณะนี้ เห็น ตาไม่เห็นเลย จักขุปสาทเป็นรูป รูปเป็นสภาพธรรมที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น ในขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่จักขุปสาท และไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นด้วย แต่เป็นนามธาตุที่ไม่มีใครมองเห็นเลย แต่เกิดขึ้นทำหน้าที่เห็น นี่เป็นผลของกรรม เพราะว่าบางครั้งเราเห็นสิ่งที่น่าพอใจ สวยงามประณีต บางครั้งเราก็เห็นสิ่งที่ไม่น่าดูเลย
เพราะฉะนั้น ขณะใดที่เป็นผลของกุศลกรรม จิตเห็นก็จะเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ดี น่าพอใจ ขณะใดที่เป็นผลของอกุศลกรรม จิตเห็นก็จะเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ไม่น่าดูเลย แล้วเราก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือเสียงที่ปรากฏทางหู เสียงที่น่าตกใจ มี เสียงปืน เสียงระเบิด เสียงฟ้าร้อง ฟ้าลั่น เสียงรถชนกัน หรือเสียงอะไรก็แล้วแต่ ก็เป็นเสียงที่ทำให้ขณะนั้นไม่น่าพอใจ จะพอใจเสียงอย่างนั้นได้อย่างไร แต่ว่าเสียงนั้นก็เกิดปรากฏกับจิต เพราะว่าจิตเป็นสภาพธรรมที่ต้องรู้ เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นรู้โดยได้ยิน รู้ลักษณะของเสียงที่ปรากฏ ที่เราใช้คำว่า “ได้ยิน” ต้องเป็นสภาพของจิตที่ทำหน้าที่ได้ยินเสียง เพราะว่าจิตเกิดขึ้นต้องทำกิจหน้าที่ ไม่มีจิตใดเลยซึ่งเกิดขึ้นแล้วไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่างเดียว แต่ขณะนี้ตั้งแต่เกิดจนตาย จิตเกิดขึ้นทำหน้าที่ไม่หยุด ขณะนอนหลับ เราคิดว่าเราพักผ่อน แต่จิตไม่ได้พักผ่อนเลย ขณะนั้นจิตก็ทำกิจการงาน
เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นสภาพของธรรมชาติที่มีอยู่ที่ตัวทุกคน แต่ว่าเมื่อไม่ได้ศึกษาไม่ได้เข้าใจตามความเป็นจริง ก็เหมือนกับเราไม่รู้อะไรเลยในสิ่งที่มีอยู่ที่ตัว แล้วก็เข้าใจผิดคิดว่าเป็นเรา ทั้งจิต ทั้งเจตสิก ทั้งรูป ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย โดยที่นามธรรมไม่ใช่รูปธรรมเลย แล้วเวลาที่พูดถึงเรื่องกรรม และผลของกรรม เราอาจจะคิดว่า ผลของกรรม ก็คงจะเป็นอย่างอื่น ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ต่างๆ แต่ต้องทราบว่า เพราะมีจิต ได้ลาภ มีลาภ ก็คือว่าจิตต้องเห็นสิ่งนั้น ต้องได้ยินเสียง อาจจะเป็นคำสรรเสริญยกย่องก็ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีจิตที่จะรู้ จะมีลาภได้ไหม คะ ไม่ได้
เพราะฉะนั้น การรับผลของกรรมก็คือมี ๕ ทางที่จิตเกิดขึ้นรับผลของกรรม คือทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย