สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๕๖
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๕๖
ธรรมเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์มาก มีอยู่ เกิดอยู่ ปรากฏอยู่ แต่ว่าถ้าไม่ศึกษาธรรมจะไม่รู้เลย อย่างการรับผลของกรรม เมื่อไร ขณะไหน เราพูดแต่เพียงง่ายๆ เผินๆ เมื่อทำกรรมก็ต้องรับผลของกรรม แล้วเราบอกคนที่เราพูดได้ไหมว่า กรรมอะไร แล้วก็ผลของกรรมอะไร แต่ทรงแสดงไว้ว่า การรับผลของกรรมเริ่มขณะแรกคือขณะเกิด ทุกคนเกิดมาต่างกัน ไม่ใช่แต่เฉพาะมนุษย์ ยังมีสัตว์ประเภทต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่มีจิต มีเจตสิก มีรูปทั้งนั้น เป็นผลของกรรมที่ต่างกัน ถ้าเกิดเป็นผลของอกุศลกรรม จะไมใช่มนุษย์ แต่จะเกิดในนรก หรือว่าเกิดเป็นเปรต หรือว่าเกิดเป็นอสุรกาย ภูมิหนึ่งซึ่งเป็นภูมิที่ไม่มีอะไรที่สนุกสนานรื่นเริงบันเทิงเลย แล้วก็อีกกลุ่มหนึ่งก็คือเป็นสัตว์เดรัจฉานที่เรามองเห็นในโลกนี้ เห็นช้าง เห็นแมว เห็นนก จะสวยงามสักเท่าไรก็รู้ว่าเป็นผลของอกุศลกรรม ซึ่งอกุศลกรรมที่ทำก็ต่างกันมาก เราลองดูผีเสื้อ มีปีกไม่เหมือนกันเลย แสดงส่องไปถึงความวิจิตรของจิตขณะที่ทำกรรมที่จะทำให้เกิดเป็นผีเสื้อ ทำให้เกิดเป็นมด ทำให้เกิดเป็นช้าง ทำให้เกิดเป็นปลา ทำให้เกิดเป็นนก นั่นคือสัตว์ แต่มนุษย์ก็เช่นเดียวกัน เราจะดูกรรม และผลของกรรมได้จากสิ่งที่มีชีวิต อย่างมนุษย์หรือสัตว์ เกิดมาต่างกัน เพราะว่าผลของกรรมต่างกัน บางคนก็เกิดมาก็หูหนวก ตาบอด บ้า ใบ้ บางคนก็เกิดมาสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง แต่ว่าไม่มีสติปัญญา มีทุกอย่างเพียบพร้อมหมด แต่ไม่มีปัญญาก็ได้
เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องของกรรม และการให้ผลของกรรมอย่างละเอียด ขณะแรกที่กรรมให้ผลคือทำให้เกิด แล้วก็ทำให้ขณะต่อไปก็คือ เมื่อเกิดแล้วยังไม่ตาย จะต้องดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนี้ต่อไป จนกว่ากรรมนั้นจะถึงกาลที่สิ้นสุด ไม่ให้ผลที่เป็นบุคคลนี้อีกต่อไป ก็จะทำให้จิตซึ่งเป็นผลของกรรมเกิดขึ้น เมื่อจิตนี้เกิดขึ้น และดับไป เป็นจิตขณะสุดท้ายของชาตินี้ ทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพจากการเป็นบุคคลนี้ จะกลับมาเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้เลย นี่ก็เป็นผลของกรรม แต่ว่าระหว่างเกิดแล้วยังไม่ตาย กรรมก็มีทางที่จะให้ผลของกรรมด้วย คือ กรรมทำให้มีจักขุปสาท ทำให้เกิดตา ใครก็ทำไม่ได้ แล้วแต่กรรม ถ้ากรรมนั้นไม่ทำให้เกิดจักขุปสาท คนนั้นก็ตาบอด ถ้าคนนั้นตาบอดแล้ว จะเอากรรมที่ไหนไปทำให้จักขุปสาทเกิดก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้น กรรมทำให้ที่ตัวของเราทั้งตัว มีสิ่งที่เกิดจากรรมก็คือจักขุปสาทเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย แม้แต่จักขุก็ยังต่างกันอีก คนที่ตาดีกับคนที่ตาไม่ค่อยดี หรือคนที่ตาเห็นอย่างเหยี่ยว ก็มีลักษณะที่ต่างๆ กัน ไปตามกรรม นอกจากกรรมทำให้เกิดตา ก็ยังทำให้เกิดหู โสตปสาท เพื่อรับผลของกรรม คือ ต้องได้ยินเสียง คนที่มีโสตปสาทที่จะไม่ได้ยินไม่มี จะตั้งใจได้ยินได้ไหมคะ ถ้าไม่มีเสียงก็ได้ยินไม่ได้ ถ้าเสียงมีกระทบกับโสตปสาท ถึงกาลที่กรรมจะให้ผลให้ได้ยิน จะไม่ได้ยินก็ไม่ได้ อย่างคนที่นอนหลับสนิท เกิดฟ้าร้องน่ากลัว บางคนก็ไม่ตื่น ไม่ใช่ถึงกาลที่กรรรมของคนนั้นจะให้ผลทางหู คือทำให้เกิดได้ยินเสียงนั้น แต่ว่าคนที่ทำกรรมที่ถึงกาลที่สุกงอมจะให้ผล จะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากได้ยินเสียงนั้นก็ได้ยินเสียงนั้น เพราะว่าคนเราไม่ได้มีแต่กุศลกรรม มีทั้งกุศลกรรม และอกุศลกรรม
เพราะฉะนั้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งเกิดเพราะกรรมก็เป็นทางที่จะรับผลของกรรม คือ ขณะใดที่ได้รู้สิ่งที่ดี เห็นสิ่งที่ดี ได้ยินเสียงที่ดี สิ่งที่กระทบกายที่สบาย ขณะนั้นทั้งหมดก็เป็นผลของกุศลกรรม ในทางตรงกันข้ามถ้าเป็นสิ่งที่ไม่พอใจก็เป็นผลของอกุศลกรรม เรารู้ชีวิตของเรา และรู้กรรมของเราไหมคะ จากวันหนึ่งๆ ถ้าเห็นสิ่งที่ดีรู้เลย เป็นผลของกรรมดีที่ได้ทำแล้ว ถ้าได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ อาจจะเป็นเสียงน่าเกลียด หรือเสียงอะไรก็ตามแต่ เสียงดุ เสียงด่า เสียงอะไรก็แล้วแต่ บางคนนั่งรถไป รถอีกคันเขาตั้งใจจะว่าอีกคันหนึ่ง แต่คันนั้นปิดกระจกหมด แต่คันนี้เปิดกระจก ก็ได้ยินเสียงที่เขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะว่า แต่ก็เป็นกาลที่จะได้รับผลของกรรมทางหู ก็เกิดได้ยินเสียงนั้น
เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่มาถึงตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้ทราบว่า ไม่มีใครทำให้เลย ต้องเป็นผลของกรรม คือ กุศลกรรมหรืออกุศลกรรมเป็นเหตุ แม้ว่าดับไปแล้วก็สะสมสืบต่อพร้อมที่จะให้ผลเกิดเมื่อไร ผลก็ต้องเกิดเมื่อนั้น
เพราะฉะนั้น เราทุกคนจะไม่มีวันรู้ ไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่า ขณะจิตต่อไปจะเป็นอะไร จะเห็น หรือจะได้ยิน หรือจะได้กลิ่น เกิดได้กลิ่นขณะนี้ได้ไหมคะ ได้แน่นอน เพราะมีจมูกซึ่งกรรมทำให้รูปนี้เกิดขึ้น แล้วก็กระทบกับกลิ่น ถ้าเป็นกลิ่นที่น่าพอใจ กลิ่นหอม ก็เป็นผลของกุศลกรรม ตัวผลคือกุศลวิบาก
เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจคำ ๒ คำ คือ กรรมเป็นเหตุ แล้วก็วิบากเป็นผล ซึ่งใครก็หนีไม่พ้น ไม่มีใครหนีพ้นผลของกรรมได้ทุกวัน ลืมตาตื่นขึ้นมาก็เป็นวิบากคือเป็นผล ของกรรม ได้ยินเสียงขณะไหน แม้ขณะนี้ก็เป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้น ก็จะมีความเข้าใจในเรื่องของกรรม และผลของกรรม ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า “วิบาก”