สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๕๘


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๕๘


    ผู้ฟัง กราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า งานศพทุกงานที่มีพระภิกษุสงฆ์จะสวดพระอภิธรรม สาเหตุที่สวดพระอภิธรรมเพราะอะไร และเพื่อให้อุบาสกอุบาสิกาที่เข้ามาฟังได้ยิน เข้าใจอะไร

    ท่านอาจารย์ ไม่ว่าใครจากไป ทุกคนก็โศกเศร้า แต่ถ้ารู้ความจริงของธรรมว่า ใครไม่สามารถจะไปเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมได้เลย เมื่อเกิดแล้วต้องตาย เป็นของธรรมดา แต่ว่าบุคคลที่รู้ความจริงละเอียดยิ่งกว่านั้นอีก คือ แท้ที่จริงแล้วสภาพธรรมที่มีจริงๆ เรายังไม่เรียกชื่อว่าอะไรทั้งสิ้น อย่างเห็นอย่างนี้ ในน้ำ บนบก บนอากาศ จะสัตว์เห็น มดเห็น ช้างเห็น หรืออะไรก็เห็น ก็ตามแต่ เอารูปร่างออกหมดเลย เห็นก็คือเห็น ชาติจีน ชาติไทยหรือเปล่า ไม่มีชาติอะไรสักอย่างเดียว เป็นนก เป็นหนู เป็นคน เป็นอะไรหรือเปล่า ก็ไม่ใช่ ถ้าเอารูปร่างออก จิตเห็นก็คือเห็น ที่ไหนก็คือต้องทำหน้าที่เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ในครั้งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงหนทางหรือแสดงพระธรรม คนฟังในครั้งนั้นสามารถเข้าใจธรรม คือสิ่งที่มีจริงๆ ว่า สิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งใครไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้เลย มี ๔ อย่างเท่านั้น คือ จิต เป็นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ ขณะนี้ทุกคนได้ยินเสียง กี่เสียงคะ เยอะแยะ ทำไมรู้ว่าเยอแยะ เพราะจิตสามารถจะรู้ความต่าง ความวิจิตรของเสียงที่ไม่เหมือนกัน ไม่ว่าเสียงนั้นจะเป็นเสียงอะไรก็ตาม จิตสามารถได้ยินหมดทุกเสียง

    เพราะฉะนั้น จิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่ เป็นประธานเฉพาะการรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย ที่กำลังปรากฏให้รู้ แล้วมีเจตสิก คือสภาพที่เกิดกับเจตสิกด้วย พูดถึงจิต ก็รวมไปถึงเจตสิกด้วย เพราะว่าทุกอย่างที่จะเกิดจะเกิดเองตามลำพังไม่ได้ ต้องมีสภาพธรรมที่อาศัยกัน และกันปรุงแต่งให้เกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้น ก็มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องจิต ในครั้งนั้นคนฟังเป็นคนที่เคยสะสมบุญในอดีต พร้อมด้วยปัญญาที่สามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงแม้ใครไม่เรียกชื่อ ก็เปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมนั้นไม่ได้เลย อย่างความโกรธจะต้องเรียกชื่อไหมคะ ภาษาไทยเรียกอะไร ภาษาจีนเรียกอะไร ภาษาอังกฤษเรียกอะไร ไม่ต้องเรียกเลย ใครก็เปลี่ยนแปลงลักษณะของความโกรธไม่ได้

    เพราะฉะนั้น เราใช้คำว่าทรงแสดงธรรม ถ้าใช้คำว่า ธรรม ก็หมายความว่าสิ่งที่มีจริง แล้วก็ถ้าทรงแสดงโดยบัญญัติโวหารเป็นบุคคล ก็เรียกสิ่งที่มีจริงโดยสมมติว่า เป็นสัตว์ เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรืออะไรต่างๆ แต่สิ่งที่มีจริงแท้ๆ มีจิต กับเจตสิก กับรูป อีกอย่างหนึ่ง คือ นิพพาน ซึ่งตอนนี้ก็ไม่ต้องหวัง จะมีลักษณะอย่างไรก็ไม่ปรากฏเลย เพียงสิ่งที่มี ถ้าปัญญาเราสามารถที่จะเข้าใจได้ถูกต้องจริงๆ ในความเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่เรา ไมใช่ของเรา บังคับบัญชาไม่ได้ เกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย แล้วสิ่งใดก็ตามที่เกิด สิ่งนั้นต้องดับ แล้วก็ดับอย่างเร็วมาก คนในสมัยโน้นสามารถที่จะเข้าใจได้

    เพราะฉะนั้น เมื่อได้ทรงแสดงธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม คือ เป็นธรรมที่มีจริง ที่คนอื่นเปลี่ยนแปลงไม่ได้โดยละเอียด จึงชื่อว่า “อภิธรรม” เพราะว่าจิต เราคิดว่ามีนิดๆ หน่อยๆ ไม่กี่อย่าง แต่ทรงแสดงความละเอียดถึงระดับขั้นของจิต ชาติของจิต เจตสิกที่เกิดร่วมด้วยต่างๆ ให้เห็นความละเอียดขึ้น

    เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่าสภาพธรรมที่มีจริง ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ โลภะเป็นมนุษย์ หรือเป็นสัตว์คะ ความติดข้อง ความต้องการ เป็นมนุษย์ หรือเป็นสัตว์ หรือเป็นธรรม

    ผู้ฟัง ก็เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจธรรม ซึ่งคนในสมัยโน้นได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ แล้วก็มีการสะสมความเข้าใจ เมื่อมีการแสดงอภิธรรม คือเรื่องของสิ่งที่มีจริงๆ ก็สมัยหลังต่อมา เพื่อที่จะรักษาประเพณีของการที่จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ก็มีการสวดพระอภิธรรม เพื่อเตือนให้รู้ว่า เป็นธรรม แล้วก็เป็นธรรมโดยประการต่างๆ โดยเฉพาะก็คือธรรมทั้งหลายจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะมีปัจจัย แล้วปัจจัยก็มีมากหลายอย่าง ที่ทรงแสดงหัวข้อใหญ่ๆ ไว้ ก็คือปัจจัย ๒๔ ก็เป็นการเตือนให้รู้ว่า เป็นธรรม ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วมีความดับไปเป็นธรรมดา ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ เราก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ เป็นสิ่งที่ดีที่สุด แล้วบุคคลที่เราอุทิศส่วนกุศลให้เกิดกุศลจิตของตนเอง อนุโมทนา คือยินดีในกุศลที่เราทำอุทิศให้ ขณะนั้นก็เป็นกุศลจิตของบุคคลนั้น ก็เป็นเหตุที่จะทำให้ได้รับกุศลวิบาก

    นี่ก็เป็นการที่เรารักษาประเพณีอันนี้ไว้ แต่ความจริงแล้วเพื่อให้ทุกคนที่ได้ฟัง มีความเข้าใจธรรม


    หมายเลข 9464
    20 ส.ค. 2567