สิเนหา


    อ.อรรณพ สิเนหา คือ ยางใยที่เหนียวมาก เป็นความผูกพันติดข้องทั้งในบุคคล และทรัพย์สิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยื่อใยในความเป็นเรา ซึ่งหนทางที่จะคลายายางใยนี้ก็คือปัญญาที่ค่อยๆ สะสมได้ด้วยการฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงมีพระมหากรุณาคุณแสดงแก่สัตว์โลก

    จากการสนทนาเรื่อง “การปฏิบัติธรรม” วันวิสาขบูชาที่ มศพ. มิ.ย. ๒๕๕๕

    ท่านอาจารย์ สิเนหา แปลว่า ยางใยที่เหนียวมาก ใครจะไปแยกธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ออกจากกันได้ไหมคะ เพราะเหตุว่ามีธาตุน้ำที่เกาะกุมธาตุทั้ง ๓ คือ ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม ไม่มีทางแยกออก และเมื่อเป็นสภาพที่เกาะกุม สิ่งที่ปรากฏก็ปรากฏแข็งหรืออ่อน เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว แต่ส่วนที่เกาะกุมธาตุทั้ง ๓ นี้ไว้ก็ไม่ได้ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น จะเห็นความเยื่อใย ยางใยที่เหนียวแน่นมาก เพราะฉะนั้น คนไทยก็ใช้ในความหมายที่ว่า เป็นความรักใคร่ ความผูกพัน ยางใย เยื่อใย เหนียวแน่นแค่ไหน ถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริงก็ปล่อยให้เป็นอย่างนั้นไปเรื่อยๆ แต่ถ้ารู้ว่า ยากแสนยากที่จะละโลภะ เพราะว่าโลภะติดข้องในทุกอย่าง ไม่ว่าจะเห็น จะได้ยิน จะได้กลิ่น จะลิ้มรส จะกระทบสัมผัส คิดนึกก็คิดนึกในเรื่องที่พอใจที่จะคิด คิดแล้วโกรธ พอใจไหมคะ กำลังโทสะเกิด มีความพอใจหรือเปล่าในโทสะที่เกิด ถ้าไม่พอใจ โทสะก็เกิดไม่ได้ มีฉันทะ แต่ไม่ใช่โลภะ ฉันทะที่จะโกรธ ถ้ารู้จริงๆ ว่าไม่ดี ก็อย่าโกรธซิ แต่ใครจะยับยั้งฉันทะได้ ในเมื่อฉันทะ พอใจเวลาโกรธ บางคนโกรธมากแล้วแสดงกิริยาอาการที่คิดว่าคนอื่นกลัว คิดว่าถ้ามีกิริยาอาการที่โกรธอย่างนี้ คนอื่นก็คงไม่ทำสิ่งที่เราไม่อยากให้เขาทำ แต่ขณะที่โกรธก็คือฉันทะ พอใจที่จะให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น แต่ไม่ใช่โลภะ ไม่ใช่ความติดข้อง

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมก็คือน้อมไปสู่อริยสัจธรรม คือสิ่งที่มีจริงๆ เพราะเกิดขึ้นแล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่เหลือเลย จนกว่าสามารถรู้ว่า แล้วทำไมถึงจะหยุดได้ ในเมื่อใครก็ไม่สามารถบังคับบัญชาธรรมที่เกิดว่า ไม่ให้เกิด ไม่ให้เป็นอย่างนี้ ไม่มีใครสามารถมีอำนาจใดๆ ที่จะไปหยุดยั้งธรรมนิยาม ความแน่นอน ที่จิตเกิดขึ้นก็ต้องรู้สิ่งที่ปรากฏ

    ธรรมนิยาม คือ จิตเกิดแล้วก็ดับไป ก็ต้องมีสภาพธรรมเกิดดับสืบต่อ ไม่มีใครไปยับยั้งได้ แต่สามารถเข้าใจถูกว่า ไม่ใช่เรา มีจริงๆ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ชั่วคราว แล้วก็หมดไป

    เพราะฉะนั้น การฟังทั้งหมด ตัวอย่างในอดีตที่เห็นความคิดของแต่ละคน ซึ่งไม่ทราบเป็นใคร ในสมัยไหน อาจจะเป็นผู้ที่กำลังนั่งฟังธรรมขณะนี้ก็ได้ ถึงความตระหนี่ แม่บ้านบางคนถึงกับเอาข้าวที่อยู่ในหม้อที่ตั้งไฟออก ด้วยความตระหนี่ เห็นไหมคะ สารพัดอย่างที่จะเป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นบิดาของมัทกุณฑรี ลูกป่วยหนัก ไม่ได้รักษา แต่พาออกไปข้างนอก เพื่อไม่ให้คนเห็นทรัพย์สินในบ้าน เห็นไหมคะ รักลูก หรือรักทรัพย์สิน แล้วโลภะ ความติดข้อง สิเนหา อยู่ที่ไหนมาก ยางใยเยื่อใย สละไม่ได้เลย ทรัพย์สินภายนอก มีแล้วไม่มี หมดไปแล้วก็ไม่ต้องคิดถึงได้ เพราะหมดไป ไม่เห็น แต่สิ่งที่เคยเป็นเรา และก็ยังมีอยู่ ทั้งเห็น ทั้งได้ยิน ทั้งได้กลิ่น ทั้งลิ้มรส ทั้งรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ทั้งเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เป็นเราด้วยความไม่รู้ ใช่ไหมคะ และความยึดมั่น ยางใยติดแน่นจะสักเท่าไหน

    เพราะฉะนั้น ให้เห็นจริงๆ ว่า การฟังธรรมเพื่ออบรมความเห็นถูก ถ้าไม่มีความเห็นถูกจริงๆ ไม่สามารถจะละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เมื่อมีเรา ทุกอย่างก็เพื่อเรา หรือเพื่อคนอื่น ถึงเพื่อคนอื่นก็คือเพื่อเรานั่นแหละ ที่เราพอใจที่จะให้เพื่อคนนั้น หรือเพื่อคนนี้

    เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นจริงๆ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเข้าใจธรรมแล้ว ทุกคำจะเห็นพระมหากรุณาคุณว่า ถ้าไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่คนอื่นไม่สามารถจะบำเพ็ญได้ถึงอย่างนั้น ก็จะไม่มีการตรัสรู้ความจริงที่กำลังเป็นจริงในขณะนี้ ที่ยากจะรู้ได้ แต่เมื่อได้บำเพ็ญบารมีแล้วถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประโยชน์ที่มากมายมหาศาล นอกจากผู้ได้รับฟังพระธรรมโดยตรงจากพระโอษฐ์ ก็ยังถึงในสมัยนี้ ยุคนี้ สำหรับผู้ที่ได้สะสมศรัทธา และเห็นประโยชน์ของปัญญา ยังมีโอกาสได้ฟัง แต่จะนานเท่าไร ก็ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ แต่ก็ยังดีกว่าไม่ฟังเลย ไม่เข้าใจเลย เข้าใจทีละน้อย ก็ยังดีกว่าไม่เข้าใจเลย แล้วไม่ไปหวังที่จะเข้าใจมากๆ โดยเหตุไม่สมควรแก่ผล


    หมายเลข 9469
    19 ก.พ. 2567