ปริยัติไม่ใช่จำเรื่อง
อ.อรรณพ ปริยัติคือรอบรู้ขั้นการฟัง แต่ถ้าเป็นความอยากจะรู้สภาพธรรมที่ยังไม่ปรากฏจะเป็นความรอบรู้หรือไม่ หรือถ้าคิดจะไปทำอะไรที่ไม่ใช่การรู้สิ่งที่กำลังมีปรากฏขณะนี้ จะเป็นความรอบรู้ไหม
จากการสนทนาเรื่องการปฏิบัติธรรม ที่ มศพ. ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๕
ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจจริงๆ ละเอียดขึ้น รอบรู้ไหมคะ ภาษาไทย ภาษาบาลีก็ปริยัติ แต่ถ้าไม่รู้ว่าคือการที่สามารถเข้าใจ รอบรู้ในความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏในขั้นการฟังด้วยดี ไตร่ตรองจนเป็นความเห็นถูก จะไม่ใช่ปริยัติ ถ้าไม่เข้าใจ ฟังเรื่องจิตทั้งหมดมีเท่าไร ๘๙ โดยพิเศษ ๑๒๑ ฟังแล้วเดี๋ยวนี้ไม่รู้เลยว่าเป็นจิต ชื่อว่ารอบรู้หรือเปล่า หรือว่าจำเรื่อง เป็นวิชชาที่จำ แต่ไม่ใช่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้น ก็ต้องฟังให้เข้าใจว่า ปริยัติ ศึกษาอะไร สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ฟังเพื่อเข้าใจ ฟังแล้วรอบรู้ คือสามารถเห็นความเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ของใครยิ่งขึ้น แม้แต่ตา จักขุปสาทขณะนี้ ไม่ใช่ของเรา เกิดแล้ว แล้วกำลังดับด้วย ทั้งเกิดทั้งดับ แล้วจะเป็นของใคร ดับแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลยสักอย่างเดียว ตั้งแต่เกิดมาจะหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเข้าใจว่าเป็นเรากลับมาอีกไม่ได้เลย แม้แต่สิ่งที่เข้าใจว่าเป็นของเรา อยู่ที่บ้าน คงไม่ลืม เมื่อเช้านี้เห็นของที่อยู่ที่บ้าน กลับไปเห็นอีก เห็นนั้นก็ไม่ใช่เห็นเมื่อเช้านี้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ถูกเห็นก็ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเมื่อเช้านี้
นี่คือค่อยๆ เข้าใจจนรอบรู้ความจริงว่าเป็นอย่างนี้เอง ทั้งหมด พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรมไม่ให้ใครทำอะไรขึ้นมา เพราะว่าทำไม่ได้ ไม่ได้สอน ไม่ได้บอกให้ใครทำ แต่ให้เข้าใจความจริงจากการฟัง รู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ คือ ขณะนี้ทุกอย่างที่ปรากฏเกิดแล้วทั้งนั้นตามเหตุตามปัจจัยด้วย แต่ไม่รู้สิ่งที่เกิดแล้ว จะพยายามไปทำให้รู้อะไรที่ยังไม่เกิดได้อย่างไรคะ ในเมื่อสิ่งที่เกิดแล้วไม่รู้
เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้รอบรู้จากการฟัง เพราะฟังด้วยดี และพิจารณาให้ถูกต้อง
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่คำหรือภาษาที่เราจะเรียนเป็นเรื่อง แต่ต้องรู้ แม้คำว่า “รอบรู้” คืออย่างไร ไม่เข้าใจเลยว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรม แต่จำได้ว่า มีจิต ๘๙ ประเภท ชื่อว่า “รอบรู้” หรือเปล่า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ขณะนี้เป็นสิ่งที่มีจริง กี่ประเภทก็ตามแต่ แต่ไม่พ้นจาก ๘๙
ความรอบรู้ คือ ความเข้าใจจริงๆ แม้นิดแม้หน่อยก็มากขึ้นๆ ซึ่งไม่ผิด แต่ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ เข้าใจนิดเดียว เข้าใจเผินๆ บางคนก็อยากจะรู้ธาตุน้ำเสียแล้ว อย่างอื่นก็ปรากฏ สีก็ปรากฏ เสียงก็ปรากฏ กลิ่นก็ปรากฏ รสก็ปรากฏ เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหวก็ปรากฏ อยากจะรู้ธาตุน้ำ เป็นไปได้ไหมคะ จากคำถามของผู้หวังจะรู้สิ่งที่ไม่ปรากฏ วิการรูป อยากรู้ไหม รูปที่เบา ที่อ่อน ที่ควรแก่การงาน ซึ่งเป็นลักษณะวิการของมหาภูตรูป อยากรู้ไหม แต่ถ้าไม่รู้มหาภูตรูปก่อน จะรู้ความวิการของมหาภูตรูปได้ไหม
เพราะฉะนั้น มหาภูตรูปรู้ได้ทางกาย แล้ววิการรูปจะรู้ได้ทางไหน เห็นไหมคะ นี่คือรอบรู้ ไม่ไปฝืน ไม่ไปพยายามทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้ เพราะเหตุว่าสิ่งที่ปรากฏยังไม่รู้ เตือนตัวเองได้เลย แล้วจะไปรู้สิ่งที่ไม่ปรากฏได้อย่างไร หวังไปที่จะรู้ ก็ไม่มีทางรู้ได้ เพราะเหตุว่ายังไม่ได้ปรากฏ แต่เมื่อปรากฏแล้วรู้ เพราะอะไรคะ เพราะได้ฟังจนเป็นความรอบรู้ ไม่สงสัยในลักษณะของสภาพธรรม
เพราะฉะนั้น ขณะนี้ฟังเหมือนว่า สภาพธรรมกำลังปรากฏ สภาพธรรมปรากฏแน่นอน แต่ปรากฏกับอะไร ปรากฏกับความไม่รู้ ไม่เข้าใจ หรือปรากฏกับความรู้ แล้วความรอบรู้ระดับไหนด้วย
เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ทั้งหมดเข้าใจผิดว่าจะไปทำ แต่ความจริงไม่ได้เข้าใจเลยว่า ทำไม่ได้ บางทีคำพูดที่ชินปากจากการไม่เข้าใจ ก็จะทำให้พูดคำที่ไม่เข้าใจ จนกว่าเข้าใจเมื่อไรก็จะเลิกใช้คำที่ไม่เข้าใจ เช่น คำว่า “ทำความเข้าใจ” กับ “เข้าใจ” ฟังแล้วเข้าใจ ต้องไปทำหรือเปล่า เราไม่ได้ทำอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะไม่มีเรา แต่ธรรมทั้งหมดเกิดขึ้นทำกิจการงานของธรรม ไม่ว่างเว้นเลย ทุกขณะใดที่สภาพธรรมใดเกิดขึ้น สภาพธรรมนั้นทำกิจของสภาพธรรมนั้นๆ ไม่ทำได้ไหม ไม่ได้เลย เกิดแล้ว ความเป็นไป ความเป็นธรรม ซึ่งจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ คือ มีกิจหน้าที่ของธรรมนั้นๆ ที่จะทำ แต่เมื่อไม่รู้แล้วรวมกัน ก็เป็นเรา
นี่คือรอบรู้ทีละเล็กทีละน้อยจนมั่นคง เพื่อละความไม่รู้ และเพื่อละการที่คิดว่า จะไปทำอะไร เดี๋ยวนี้จะทำอะไรล่ะคะ ก็ฟัง แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจมั่นคงขึ้น