อวิชชาอยู่ที่ไหน
อ.อรรณพ อวิชชาคือความไม่รู้ เป็นรากเหง้าของอกุศลทั้งหลาย แต่อวิชชาก็ไม่ปรากฏ ทั้งๆ ที่อวิชชาเกิดกับอกุศลทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโลภะ โทสะ มานะ หรือความเห็นผิด การอบรมปัญญาที่รู้ความจริงที่ปรากฏเท่านั้นจึงจะค่อยๆ ละคลายอวิชชาได้
จากการสนทนาธรรมที่วังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๕
ท่านอาจารย์ พูดถึงอวิชชา อยากรู้จักอวิชชา แล้วอวิชชาอยู่ที่ไหน ข้อสำคัญที่สุดก็คือเรามีคำมากมายที่จะพูดถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นก็กำลังมีอยู่ เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำลังมีสามารถจะเข้าใจถูกต้องได้ ก็คือว่า ฟัง และพิจารณาสิ่งที่ได้ฟังว่า สิ่งที่ได้ฟังพูดถึงอะไร แล้วมีจริงๆ หรือเปล่า ถ้ามีจริง แต่ก่อนเคยไม่เข้าใจ และเคยไม่รู้ แต่พอได้ฟังเข้าใจขึ้นก็สามารถคลายความไม่รู้ในขณะที่ฟัง และถ้าฟังต่อไปก็เข้าใจเพิ่มขึ้น
เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้อวิชชาอยู่ที่ไหน จะได้รู้จักอวิชชาเสียที เพราะเรียกชื่อมานาน มีอวิชชาทั้งวันเลย อวิชชาทั้งนั้น เมื่อไรติดข้องก็เพราะไม่รู้ เมื่อไรโกรธ ขุ่นเคืองใจก็เพราะไม่รู้ ทั้งๆ ที่โลภะปรากฏ อวิชชาไม่ได้ปรากฏ เห็นแต่โลภะ ติดข้องมาก บางคนจะเห็นได้ว่า ชอบไปหมดทุกอย่าง เข้าร้านไหนก็ร้านนั้นต้องเจอของดี ที่น่าสนใจ ที่อยากจะได้
นี่แสดงให้เห็นว่า ขณะนั้นโลภะปรากฏ พอจะเห็น แต่เห็นอวิชชาไหม ทั้งๆ ที่มีอยู่ด้วยกัน แต่อวิชชาเป็นสภาพที่ไม่ติดข้อง แต่ไม่รู้อะไรเลย ทั้งๆ ที่เป็นธรรม ปรากฏก็ไม่รู้ว่า สิ่งนี้มีจริงๆ เพียงปรากฏ
เพราะฉะนั้น ทั้งวันที่ไม่รู้ความจริง ก็คืออวิชชาทั้งนั้น โดยที่เราไม่รู้
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมก็เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่จะรู้ว่า คำที่ได้ยินถูกหรือผิด ไม่ใช่ให้คนอื่นมาบอกเราว่าถูก นี่ถูก หรือต้องเชื่อ นี่จริง ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แล้วแต่ว่าจะสะสมมาที่จะเป็นผู้มีเหตุผล ก็ย่อมจะไตร่ตรอง และรู้ว่า ใครก็บังคับใครไม่ได้ ใครจะเห็นผิด เขาก็เห็นผิดอย่างนั้นแหละ จะไปบอกว่าผิด เขาก็ไม่เชื่อ แต่คนที่สะสมความเข้าใจมาก็ย่อมจะไตร่ตรอง ไม่ใช่ฟังเผินๆ แต่รู้ว่า สิ่งที่ได้ฟังมีจริง
เพราะฉะนั้น โลภะก็ปรากฏว่ามี โทสะก็เห็นชัดๆ แต่ไม่เห็นอวิชชา
เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่เป็นมูลหรือเป็นรากเหง้า หรือเป็นต้นเหตุของอกุศลทั้งหลายที่ปรากฏ ก็คือตัวที่ไม่ปรากฏ คืออวิชชาที่มีอยู่ทุกขณะที่สิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้น ขณะนั้นต้องมีสภาพธรรมอย่างหนึ่งที่มีจริง ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ อกุศลทั้งหลายก็เกิดขึ้นมาได้
นี่คือชีวิตประจำวันจริงๆ พอพูดถึงอวิชชา ขณะใดที่ไม่เข้าใจธรรม ขณะนั้นก็เป็นอวิชชา ขณะใดที่ติดข้อง จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ขณะนั้นก็มีอวิชชา ขณะใดที่ขุ่นเคืองไม่พอใจแม้เพียงเล็กน้อย นิดเดียวเอง ขณะนั้นก็ต้องมีอวิชชา ขณะใดที่สำคัญตน วันหนึ่งๆ ก็อาจจะไม่น้อยเลยสำหรับบางคน ขณะนั้นก็มีอวิชชา
เพราะฉะนั้น ไม่มีใครเห็นอวิชชา แต่เห็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะอวิชชา แม้ทุกขอริยสัจจะก็กล่าวถึงสมุทัยที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ คือ โลภะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ขณะนั้นไม่มีอวิชชา อวิชชาก็รวมอยู่ด้วย แต่ที่ปรากฏให้เห็นได้ก็คือความติดข้องซึ่งเป็นโลภะ
เพราะฉะนั้น การฟังธรรม ก็คือได้ฟังสิ่งซึ่งไม่เคยฟัง เพราะใครๆ ก็คิดเองไม่ได้ แล้วคำแต่ละคำที่ได้ฟังก็ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เป็นคำที่ไม่เผิน เพราะฟังแล้วก็ต้องรู้ว่า เป็นความจริง แต่ความจริงนั้นยังไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง เช่น ขณะนี้เห็นเกิดขึ้นแล้วดับ จริงขั้นฟัง แต่ยังไม่ได้ปรากฏการเกิดดับ อยากรู้เห็นเกิดดับไหมคะ ก็เกิดดับโดยไม่รู้
เพราะฉะนั้น อยากประจักษ์ลักษณะของเห็นที่เกิดดับไหมคะ ชักจะรู้จักโลภะกับอวิชชา ก็เลยเลี่ยงไปเลี่ยงมา แต่ว่าใจจริงๆ ก็แล้วแต่ ถ้าเป็นคนที่มีเหตุผล ไม่สนใจเลย เพราะเหตุว่าเหตุยังไม่สมควรแก่ผล ฟังแล้วจะไปรู้จักการเกิดดับของสภาพธรรมทันที เป็นไปได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ถ้ามีใครบอกให้ทำอย่างนี้ แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องความเข้าใจถูก ความเห็นถูกที่จะละคลายความไม่รู้เลย เพียงแต่บอกว่า ทำอย่างนี้แล้วจะได้ประจักษ์สภาพธรรมที่เกิดดับ จะได้ถึงนิพพาน คนนั้นก็อวิชชาเกิดแล้วที่จะเชื่อ