จะอยู่ไปวันๆ หรือ
อ.อรรณพ ในแต่ละวันอยู่ด้วยความติดข้อง และความไม่รู้ และก็ไม่รู้เลยว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร ชีวิตในชาตินี้ก็เป็นการสะสมสืบต่อมาจากชาติก่อนๆ และก็จะเป็นอย่างนี้อีกในชาติต่อๆ ไป แต่ประโยชน์อย่างยิ่งก็คือการได้ฟัง และไตร่ตรองเพื่อความเข้าใจความจริงของชีวิตแต่ละขณะ
จากการสนทนาธรรมที่วังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๕
ท่านอาจารย์ เกิดมากิน แล้วก็นอน แล้วก็ตาย แต่ก่อนนั้นกิน นอน และติดข้องด้วย คือต้องละเอียดไปเรื่อยๆ แม้แต่เมื่อกี้นี้ถ้าเราจะย้อนทบทวนไป เมื่อกี้นี้อาหารอร่อยไหมคะ กำลังอร่อย หมดแล้ว เห็นไหมคะ ไม่ว่าจะรับประทานอะไรบ้าง ตั้งแต่คำแรกจนถึงคำสุดท้าย ก็หมดไปๆ ๆ อร่อย ก็เป็นอย่างนี้ และเดี๋ยวก็กินอีก แล้วก็อร่อยอีก และระหว่างที่อร่อยก็คือการติดข้อง พอถึงเวลาก็นอน ตื่นมาใหม่ ก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น ฟังแล้วก็ฟังอีก เพราะเหตุว่ากว่าจะรู้ความจริงได้ แม้ว่าความจริงก็เป็นความจริงอย่างนี้แหละ แต่ฟังกี่ครั้งกว่าจะถึงความจริงแท้ๆ ว่า ไม่มีเราแน่นอน แต่มีสิ่งซึ่งเกิดขึ้นเป็นไปแต่ละขณะของแต่ละบุคคล ตามความเป็นจริงแล้วก็แลกเปลี่ยนกันไม่ได้ด้วย แล้วก็หวังไม่ได้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นต่อไปข้างหน้า ไม่มีทางจะรู้เลย ไม่รู้เลยว่า ต่อจากขณะนี้แล้วจะเป็นอะไร ต่อเมื่อไรเกิดขึ้น เมื่อนั้นก็รู้ว่า มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้น แล้วแต่คำพูด ถ้าจะบอกว่า อยู่ไปวันๆ จริงไหมคะ แล้วต้องอยู่ด้วย จะไม่อยู่ได้อย่างไร แต่ก็อยู่ไปแบบนี้ แบบเดิม อยู่ไปวันๆ รู้จักเบื่อหรือยัง เห็นไหมคะ ก็ยังไม่ได้เข้าใจความจริง แล้วจะเบื่อได้อย่างไร เบื่อ เดี๋ยวนี้ไม่ได้เบื่อ ใช่ไหมคะ ใช้คำว่า “เบื่อ” แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้เบื่อ ทั้งๆ ที่เห็น แล้วก็เห็น แล้วก็เห็น เห็นอยู่อย่างนี้ แล้วก็คิดไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งตรงที่ว่า เกิดมาแล้ว แล้วก็ต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน แล้วจะต้องเกิดอีก แต่สิ่งที่เกิดแล้วในชาตินี้จะติดตามไป ไปให้คนอื่นก็ไม่ได้ หรือไปเอาของคนอื่นมาก็ไม่ได้ แต่ละขณะที่เกิดขึ้น แม้ว่าเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่การดับไปนั้นก็สะสมสืบต่ออยู่ในจิตขณะต่อไป
ด้วยเหตุนี้ถ้าจะย้อนดูว่า เรามาจากไหน ก็มาจากชาติก่อนๆ ที่เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง สนุกบ้าง ทุกข์บ้าง คิดดีบ้าง เป็นกิเลสอกุศลบ้าง ก็คือเดี๋ยวนี้ตามการสะสม เราจึงเป็นอย่างนี้ในขณะนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น แต่ละคน เพราะฉะนั้น ชาติหน้าก็รู้เลย ถ้าอะไรเกิดขึ้นเพราะเคยสะสมมา เคยผ่านมา เคยเป็นอย่างนี้มาในอดีต
ด้วยเหตุนี้ถ้าจะอ่านชาดก ไม่ว่าพฤติกรรมของใคร จะเกิดขึ้นที่พระวิหารเชตวัน หรือที่ไหนก็ตาม เวลามีผู้สงสัยว่า ทำไมบุคคลนี้จึงกระทำอย่างนั้น ก็ได้ไปเฝ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงแสดงว่า ไม่ใช่ครั้งเดียวหรอกที่ทำอย่างนี้ เคยทำมาแล้วแต่ก่อนด้วย และหลายๆ ครั้งด้วย
เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า ไม่ต้องย้อนไปถึงแสนโกฏิกัปป์ เพียงชาตินี้ที่เราเป็นอย่างนี้ เพราะเหตุว่าเราก็ทำอย่างนี้มาแล้วในวันก่อนๆ และทำอย่างนี้ต่อไปอีก และต่อไปก็จะเป็นอย่างนี้ไปอีก
เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นประโยชน์ว่า จากการที่ไม่เคยมีชาตินี้ แล้วก็มีทุกอย่างตั้งแต่เกิดมาจนถึงขณะนี้ แล้วก็จะหมดไป แล้วก็จะจำไม่ได้ในชาติต่อไปก็จริง แต่ประโยชน์สูงสุดจากความว่างเปล่า จากความไม่มี แล้วก็มีชาตินี้ แล้วก็หามีไม่ ประโยชน์จากการไม่มี แล้วมี ขณะที่มีก็ควรจะได้ประโยชน์อย่างยิ่งจากการเกิดมาแล้วมี โดยสามารถได้ยินได้ฟัง แล้วได้เข้าใจสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพราะว่าคนที่ไม่เคยฟังเลย ไม่มีโอกาสได้ฟังประการหนึ่ง และถึงแม้ที่ได้ฟังแล้ว แต่ขาดการไตร่ตรองให้เข้าใจอย่างมั่นคงว่า ก็เท่านี้เอง ความจริงก็คือเห็นแล้วก็ไม่เห็น หมดไป ได้ยินแล้วก็ไม่ได้ยิน หมดไป ถ้าเข้าใจมั่นคงขึ้น ก็จะเห็นว่า ตั้งแต่เกิดจนตายสิ่งที่มีประโยชน์ และมีคุณค่าที่สุด คือ การได้เข้าใจพระธรรม ได้มีโอกาสได้ฟัง สิ่งอื่นก็หมดไปแล้ว ไม่มีสาระ นอกจากไม่มีสาระแล้ว ก็ยังทำให้จิตใจขุ่นมัวเศร้าหมอง เต็มไปด้วยความไม่รู้ ความยึดมั่นต่างๆ นานา กับการมีโอกาสได้เข้าใจความจริง และรู้ความจริงว่า หลีกเลี่ยงการเป็นอย่างนั้นไม่ได้ จะกว่าจะเข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งที่มี
เพราะฉะนั้น ตลอดชาตินี้ทั้งชาติ สิ่งที่มีค่าที่สุดตั้งแต่เกิดจนตาย คือ มีโอกาสได้ฟังพระธรรม และได้เข้าใจความจริงว่า เป็นสิ่งที่ทรงแสดงความจริงแท้ๆ ของทุกๆ ขณะ ไม่เว้นเลยสักขณะเดียวตั้งแต่เกิดจนตาย
เพราะฉะนั้น ชีวิตของแต่ละคนที่ผ่านมาก็มีแต่เรื่องสงสัยว่า ทำไมเป็นอย่างนี้ อย่างนั้น คำตอบมีอยู่ในพระธรรม ใครสงสัยเรื่องอะไร ก็สามารถเข้าใจได้ ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ เห็นประโยชน์ว่า แท้ที่จริงเรื่องที่เราคิดว่า มีสาระกับเราเหลือเกิน สำคัญเหลือเกิน เฉพาะในขณะนั้นที่เกิด พอล่วงเลยขณะนั้นไปแล้วก็ไม่มีความหมายอะไรเลย เป็นขณะอื่นต่อไปแล้ว เรื่องใหม่แล้ว ความสำคัญใหม่แล้ว
เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า แท้ที่จริงแม้แต่สิ่งที่เราคิดว่า สำคัญที่สุดในขณะนั้น ก็คือชั่วขณะแล้วก็ดับไป แล้วจะสำคัญได้อย่างไร ดับไปแล้ว หมดไปแล้ว ก็ต้องเป็นเรื่องอื่นต่อไป