ดูเหมือนเล็กน้อย
อ.อรรณพ ผู้ที่ไม่ได้เข้าใจธรรม ก็ไม่เห็นในความละเอียดของธรรมขณะนี้เลย เช่น ไม่เคยคิดเลยว่า “เห็น” ขณะนี้มีความลึกซึ้งอย่างไร แต่ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่น่าสนใจ ตรงข้ามกับผู้ที่มีปัญญาจะไม่ข้ามแม้ในสิ่งที่ดูเหมือนเล็กน้อย เพราะเห็นในความลึกซึ้งของธรรม
จากการสนทนาธรรมที่วังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๕
อ.อรรณพ อย่างในพระไตรปิฎก พระสาวกท่านก็เป็นพระอรหันต์ ไม่มีความสงสัยอะไรแล้ว แต่ก็ยังทูลถามปัญหาพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่เสมอ อันนี้เพราะอะไรครับ
ท่านอาจารย์ เพราะความลึกซึ้งของธรรมซึ่งแต่ละคนก็สามารถเข้าใจธรรมที่ลึกซึ้งได้ตามกำลังของปัญญา
เพราะฉะนั้น แม้แต่สภาพธรรมตามปกติอย่างนี้ ผู้เป็นพระอรหันต์ต้องมีปัญญามากกว่าพระอนาคามีบุคคล พระสกทาคามีบุคคล พระโสดาบันบุคคล และปุถุชน เป็นของที่แน่นอน แต่ปัญญาของท่านก็ไม่สามารถเท่ากับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ด้วยความที่ท่านเข้าใจความลึกซึ้งของธรรมอย่างยิ่ง และขณะนั้นพระผู้มีพระภาคก็ยังประทับอยู่ด้วย ควรที่ท่านจะได้ฟังพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แทนที่ท่านจะคิดเอง
เพราะฉะนั้น บางครั้งเวลาอ่านพระไตรปิฎก เราจะเห็นว่า เรื่องเล็กๆ น้อยๆ สำหรับคนที่มองดูว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับพระอรหันต์ทั้งหลายไม่เล็กน้อย ในการที่ท่านจะรู้ความละเอียดลึกซึ้งขึ้น ท่านจึงได้ทูลถาม เพราะสิ่งที่ท่านเข้าใจว่าเหมือนเล็กน้อยสำหรับคนอื่น แต่สำหรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ควรอย่างยิ่งที่จะทูลถาม แม้แต่สิ่งที่คนทั่วไปเข้าใจว่าเล็กน้อย แม้แต่เวลาที่ท่านเหล่านั้นอยู่ที่ป่าโคสิงคลาลวัน แต่ละท่านก็สนทนาธรรมด้วยเรื่องที่น่าประหลาดสำหรับคนอื่นที่คิดว่าเล็กน้อยเหลือเกิน เพราะท่านถามกันว่า ป่าโคสิงคสาลวันจะงามเพราะอะไร แค่นี้เอง ซึ่งความเห็นของแต่ละท่านก็ต่างๆ กันไปตามการสะสม ซึ่งแน่นอนที่สุด คำตอบของแต่ละท่านไม่เหมือนกัน ไม่ตรงกัน แม้ว่าเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด จึงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคกราบทูลถาม
นี่แสดงให้เห็นว่า ถ้าเคารพบุคคลผู้เลิศที่สุด แม้แต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ แม้ว่าท่านจะเป็นพระอรหันต์ด้วยกัน ท่านก็ยังเห็นควรไปเฝ้า และกราบทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คำพูดแต่ละคำที่เราได้ยินได้ฟังจากพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสด้วยพระองค์เอง เพียงแค่คำไม่มาก แต่เราเข้าใจความลึกซึ้งนั้นแค่ไหน น่าคิดนะคะ เสียงเกิดมาได้อย่างไร จากไม่มีเสียง แล้วเสียงเกิดขึ้นได้อย่างไร แค่นี้ก็ไม่คิดแล้ว ก็พูดกันไปทั้งวัน ไม่ได้คิดเลยว่า แม้แต่ไม่มีแล้วมี แล้วสิ่งที่มีนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ไม่น่าอัศจรรย์หรือคะ เห็นขณะนี้ จากเมื่อกี้นี้ที่ไม่เห็น แล้วเห็น แล้วไม่เคยคิดเลยว่า ทำไมถึงจากไม่มีแล้วมีได้ แต่ละอย่างหลากหลายมากเหลือเกิน วันหนึ่งๆ มีแต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่างๆ นานา โดยผู้ไม่มีปัญญาไม่เคยคิดเลยว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร เกิดขึ้นแล้วไปไหน
ก็แสดงให้เห็นความต่างของปัญญาว่า ผู้ไม่ละเอียด และไม่มีปัญญาพอที่จะรู้ว่า สิ่งที่มีในขณะนี้เป็นสิ่งที่มี แต่น่าอัศจรรย์ที่ว่า ใครทำให้มี หรือเกิดมีขึ้นได้อย่างไร แล้วมีแล้ว หายไปไหนก็ยังไม่คิดอีก
นี่แสดงให้เห็นว่า ผู้ไม่รู้ ไม่รู้ไปหมดเลย แม้แต่เพียงไม่กี่คำที่เป็นความจริง แล้วเราก็ได้ฟังบ่อยๆ ว่า สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ต้องเกิดจึงปรากฏว่าเป็นอย่างนี้ และเมื่อเกิดแล้ว หมดแล้ว ไปไหน หายไปไหน หรือไม่เคยคิดเลย คิดแต่ว่าไม่ได้หมดไปเลย ยังมีอยู่ แม้แต่ในขณะนี้ก็ยังเห็นเหมือนเดิม
นี่คือความต่างกันของผู้ที่ละเอียด และผู้มีปัญญาที่จะไม่ข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ว่า ผู้ตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้มีแน่นอน โดยละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวง
เพราะฉะนั้น การฟัง ฟังเพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด เพราะเหตุว่าใครจะมาพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ให้เข้าใจถูกต้องได้