ทางรับผลของกรรม
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๖๐
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะ ทางรับผลของกรรม เราก็ทราบ แล้วทาง ๕ ทวาร ทางออกของกรรม นอกจากวจีกรรม กายกรรม แล้ว มโนกรรมนี่ จะสำเร็จได้ไหม
ท่านอาจารย์ ตาสำหรับเห็น เป็นทางที่จิตจะเกิดขึ้นเห็น รับผลของกรรม จะให้ทำอะไรกับตาต่อไป หูเป็นรูปที่มีลักษณะพิเศษ สามารถกระทบเสียง รูปอื่นไม่สามารถกระทบเสียงเลย ทั้งตัวเรา ถ้าไม่มีจักขุปสาท โสต ฆาน ชิวหา กาย จะเหมือนท่อนไม้ไหมคะ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แต่กรรมทำให้เกิดปสาทรูป เป็นรูปพิเศษ แม้มหาภูตรูป คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ก็ไม่ใช่ปสาทรูป ทั้งๆ ที่กล่าวว่ารูปที่เป็นใหญ่ เป็นประธาน ๔ รูป ธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม
รูปทั้งหมดที่ทรงแสดงไว้มี ๒๘ ชนิด ๒๘ รูป แต่เฉพาะ ๔ รูป เป็นรูปใหญ่ เป็นรูปที่เป็นประธาน ถ้า ๔ รูปนี้ไม่มีอีก ๒๔ รูปมีไม่ได้ สีสันวัณณะต่างๆ ที่เราเห็น ที่โต๊ะ ที่เก้าอี้ หรือที่ไหนก็ตาม ถ้าไม่มีมหาภูตรูปก็ไม่มีรูปนี้ หรือแม้แต่กลิ่น ถ้าไม่มีมหาภูตรูป ๔ ไม่มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม กลิ่นก็มีไม่ได้ รสก็มีไม่ได้ โอชาก็มีไม่ได้ เพราะฉะนั้น รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน มี ๔ แล้วรูปที่เหลือ ๒๔ รูป เป็นรูปที่อาศัยเกิดกับมหาภูตรูป มีรูป ๘ รูปที่แยกกันไม่ออกเลย อวินิพโภครูป ๘ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม สี กลิ่น รส โอชา
ผู้ฟัง คือว่าเวลาที่เรากระทำกรรม
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ตาเป็นทางสำหรับจิตเห็น แล้วก็จะให้ทำกรรมอะไร สำหรับจักขุปสาทเป็นเพียงทวารสำหรับจิตเห็น หูก็เป็นเพียงทวารสำหรับจิตได้ยิน พอได้ยิน แล้วจะให้ทำกรรมอะไร เป็นทางรับผลของกรรม ทางออกของกรรมก็มีกายกรรม วจีกรรม
ผู้ฟัง อยากทราบว่าทางมโน สามารถจะทำกรรมได้ไหมคะ สำเร็จ
ท่านอาจารย์ การฆ่า ฆ่าด้วยความพยาบาท ฆ่าโดยที่ว่าไม่ได้คิดมาก่อนเลย ถ้าไม่ได้คิดมาก่อนเลย เป็นกายกรรม แต่ทำด้วยความพยาบาทเป็นมโนกรรม
ผู้ฟัง ถือว่าเป็นมโนกรรม
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ถือค่ะ
ผู้ฟัง เรียกว่า
ท่านอาจารย์ เป็น
ผู้ฟัง อันนั้นเป็น
ท่านอาจารย์ ถ้าถือ ต่างคนต่างถือ จะถืออย่างไรก็ได้ แต่ความจริงคือเป็นมโนกรรม เพราะฉะนั้น เมื่อมีการฆ่าเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง ก็จะพิจารณาได้ว่า ขณะนั้นเป็นกายกรรมหรือเป็นมโนกรรม
ผู้ฟัง แช่งให้เขาตาย ถ้าเขาตายจริงๆ ก็ไม่ใช่คนอื่นฆ่า ใช่ไหมคะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เป็นไปไม่ได้ที่หมอแช่งให้ใครตาย เพราะฉะนั้น เป็นโทสะ เป็นพยาบาท เป็นกรรมของเราที่เกิดความคิดอย่างนั้น แต่ที่เขาตายไม่ได้ตายเพราะเราคิด
ผู้ฟัง ก็ไม่ใช่เป็นกรรม
ท่านอาจารย์ แต่เป็นโทสะ กรรมมีหลายอย่าง กรรมที่ทำให้เกิด หรือกรรมที่อุปถัมภ์ หรือกรรมที่เบียดเบียน เพราะฉะนั้น เวลากล่าวว่าเป็นกรรม ต้องรู้ด้วยว่า เป็นกรรมประเภทไหน ไม่ใช่กรรมที่ทำให้เกิด แต่เป็นกรรมที่เบียดเบียน หรือกรรมที่อุปถัมภ์ได้
ผู้ฟัง ครับ คำถามคุณหมอตุ้มนี่ ในขณะที่เป็นมโนกรรม หรือเป็นพยาบาท แล้วไปฆ่าเขาตาย ขณะนั้นก็ต้องมีทั้งมโนกรรมด้วย กายกรรมด้วย ๒ อย่างเลยหรือครับ
ท่านอาจารย์ อย่างเดียวค่ะ
ผู้ฟัง อย่างเดียวหรือครับ กายกรรมที่ทำไม่คิด หรือครับ
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่การกระทำโดยที่ไม่ได้พยาบาท
ผู้ฟัง ถ้าพยาบาท
ท่านอาจารย์ ก็เป็นมโนกรรม ถ้าไม่พยาบาทก็เป็นมโนกรรม
ผู้ฟัง ถ้าพยาบาท แล้วฆ่าเขาตาย
ท่านอาจารย์ การฆ่านั้นสำเร็จเพราะมโนกรรม
ผู้ฟัง สำเร็จเพราะมโนกรรม ก็มีเพียงมโนกรรม
ท่านอาจารย์ นาน กว่าเขาจะตายด้วยความพยายามของเราที่เป็นมโนกรรม พยาบาท อยู่ตั้งหลายวัน
ผู้ฟัง แล้วถ้าเป็นวจีกรรม คิดจะว่าหรือด่าหรือเสียดสี เป็นวจีกรรมหรือเป็นมโนกรรม
ท่านอาจารย์ ก็ แล้วแต่ ขณะนั้นถ้ามีพยาบาทก็เป็นมโนกรรม ถ้าไม่ใช่พยาบาทก็ไม่เป็นมโนกรรม เป็นวจีกรรม คงไม่ต้องไปคิดมาก เพราะว่าชีวิตประจำวันของเรามีอะไรเกิดขึ้นก็รู้ตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นสภาพธรรม รู้อย่างนี้ก็จะดีกว่า แล้วเมื่อรู้อย่างนี้จริงๆ ความละเอียดจะตามมาเพราะเหตุว่าการที่จะเข้าใจธรรม ไม่ใช่เพียงเรียนเรื่องชื่อของธรรม แล้วก็คิดเรื่องราวของชื่อต่างๆ แต่ว่าตัวธรรมจริงๆ ขณะนี้ การศึกษาจริงๆ ในพระพุทธศาสนา ศึกษาให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงๆ แม้แต่พระธรรมที่ทรงแสดงก็ทรงแสดงเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ อย่างพอพูดถึงเรื่องธรรม ก็ให้รู้เลยว่า เดี๋ยวนี้ขณะนี้ อะไรเป็นธรรม สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรม เห็นเป็นธรรม ได้ยินเป็นธรรม ทุกอย่างเป็นธรรม แล้วก็ทรงแสดงว่าธรรมมี ๒ อย่าง คือ นามธรรม และรูปธรรม เราก็เข้าใจความต่างของ ๒ อย่าง ในขณะที่ ๒ อย่างนี้ อย่างหนึ่งอย่างใดกำลังปรากฏ ไม่ใช่อยู่ในตำราเลย แต่ว่ามีลักษณะจริงๆ