สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๖๒
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๖๒
ผู้ฟัง สมมติยกตัวอย่าง ผมอ่านหนังสือท่านอาจารย์ ก็เหมือนกับฟัง คือว่าอ่านเอง หรือฟังธรรมจากท่านอาจารย์ เสร็จแล้วก็ใคร่ครวญพิจารณาตามไป ในขณะเดียวกันในช่วงเวลาที่ไม่ได้ฟังท่านอาจารย์ ดำเนินชีวิตตอนเช้าตื่นมา อาบน้ำ ทานอาหาร
ท่านอาจารย์ ธรรมเป็นปกติ
ผู้ฟัง เป็นปกติ เพราะฉะนั้น ก็เป็นช่วงเดียวที่เราสามารถที่จะอบรมปัญญาให้ได้เกิดรู้แจ้งเห็นจริงก็คือตอนที่เราฟัง ต้องพิจารณาตามไปหรืออ่านหนังสือ
ท่านอาจารย์ นี่เป็นความเข้าใจขั้นปริยัติ พระพุทธศาสนามี ๓ ขั้น ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติ คือศึกษาเข้าใจเรื่องราวของสภาพธรรม ส่วน ปฏิ บัติ โดยศัพท์ ปฏิ แปลว่าเฉพาะ ปัตติ แปลว่าถึง ถึงเฉพาะ อะไรถึง ไม่ใช่เราถึง ต้องเป็นสภาพธรรม ได้แก่ สติเจตสิก ซึ่งเป็นสภาพที่ระลึกแล้วก็รู้ลักษณะ ไม่ใช่ระลึกเรื่องราว เพราะส่วนใหญ่พอเราใช้คำว่าระลึก เป็นเรื่องยาวเลย ระลึกว่า เมื่อวันก่อนนั้นทำอย่างไร เราได้ยินอะไร เป็นอย่างไร นามธรรมเป็นอย่างไร รูปเป็นอย่างไร นั่นคือคิด แต่สติปัฏฐานเป็นสติอีกระดับหนึ่ง ไม่ใช่สติขั้นทาน ไม่ใช่สติขั้นศีล จะเกิดได้ต่อเมื่อมีความเข้าใจที่มั่นคง มีสัจจญาณ เพราะเหตุว่าอริยสัจ ๔ มี ๓ รอบ สัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ ถ้าไม่มีสัจจญาณในอริยสัจ ๔ คือ ไม่มีความเข้าใจคือญาณอย่างมั่นคงในสัจจะ ในความจริงของสภาพธรรม สติปัฏฐานก็ไม่เกิด อย่างไรก็ไม่เกิด
เพราะฉะนั้น ทรงแสดงพระธรรมเพื่อที่จะไม่ให้คนในยุคหลังคือยุคนี้เข้าใจผิดกำกับไว้โดยตลอด ไม่ว่าในเรื่องของอริยสัจ ๔ ๓ รอบ ในเรื่องของวิปัสสนาญาณ ในเรื่องของปริญญา ในเรื่องของญาณต่างๆ เช่น สุตมยญาณ ศีลมยญาณ ภาวนามยญาณ ทั้งหมดจะต้องสอดคล้องกัน เพื่อที่จะไม่ให้ความเห็นที่ไม่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีการฟังเลย ปัญญาจะมาจากไหน เราไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น แม้แต่ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ เอตทัคคะ ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านพระอนุรุทธะ เวลาที่ท่านอยู่ในป่าโคสิงคสาลวัน คำถามของท่านเหมือนธรรมดาที่สุด ท่านถามว่าป่าโคสิงคสาลวันจะงามด้วยอะไร แต่ละท่านก็ตอบตามความเป็นเอตทัคคะของท่าน ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านตอบต่างกันตามการสะสม ทั้งหมดไปเฝ้ากราบทูลถามพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า คำตอบของท่านผู้ใดถูก ท่านไม่มีความคิดว่า ท่านจะเอาคำตอบของท่าน ความคิดของท่าน เพราะว่าท่านไม่เสมอพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเหล่านั้นเป็นใคร แล้วเราเป็นใคร ถ้าเราจะไม่ศึกษาพระธรรมโดยละเอียด โดยรอบคอบ ก็เอาความคิดเห็นของเราแทรกเข้าไป ไม่ใช่ตามที่ทรงแสดง
เพราะฉะนั้น เราไม่มีทางที่จะรู้สัจจธรรมได้ เพราะว่าทรงแสดงไว้เพื่อให้เราเป็นผู้ที่ละเอียด รอบคอบ ทั้งสัจจญาณ ทั้งกิจจญาณ ทั้งกตญาณ ทั้งอริยสัจ ๔ สุขุมลึกซึ้งทั้ง ๔ อริยสัจ ซึ่งอริยสัจสุดท้ายคือมรรค หนทางที่จะถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นหนทางที่ลึกซึ้ง ไม่ใช่ว่าเราไม่รู้อะไรเลย แล้วเราก็มาคิดเอาเองว่า เรากำลังอบรมเจริญปัญญา แต่หนทางนี้เป็นหนทางที่รู้แล้วละ
ลองคิดดูว่ายากทั้ง ๒ อย่างไหม ในการที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง แล้วละ ไม่ใช่เพื่อที่จะได้อะไร ไม่ใช่เพื่อที่ให้เป็นเราที่มีปัญญาที่เป็นวิปัสสนาญาณ หรืออะไรต่ออะไร แต่ทั้งหมดเพื่อละความไม่รู้ ละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ด้วยปัญญาที่เจริญขึ้น
เพราะฉะนั้น ต้องเป็นปัญญาที่อบรมโดยการฟัง ไม่ใช่ฟังเผิน แต่ปัญญาที่เกิดจากการฟัง หมายความว่าขณะที่ฟัง ต้องไตร่ตรอง ต้องพิจารณา จนกระทั่งเป็นปัญญาของเราเอง ขณะนั้นก็จะทำให้ปัญญาขั้นต่อๆ ไปเจริญขึ้นได้
ขณะนี้ก็เป็นเบื้องต้นของภาวนา เพราะเหตุว่ากำลังมีความเข้าใจที่เริ่มขึ้น แล้วถ้าความเข้าใจนี้เจริญขึ้น ปัญญาก็จะถึงระดับของสติปัฏฐาน หรือว่าจะถึงระดับของวิปัสสนาญาณขั้นต่อๆ ไปได้ แต่ถ้าไม่มีขั้นต้น ขั้นต่อไปก็มีไม่ได้
เพราะฉะนั้น ขณะนี้การฟังธรรม ก็สงเคราะห์ คือ รวมอยู่ในหมวดของภาวนาด้วย