สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๖๔
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๖๔
ท่านอาจารย์ มีคำที่ทุกคนอาจจะได้ยินบ่อยๆ คือ สังขารธรรม หมายความถึงธรรมที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ถ้าไม่มีปัจจัยปรุงแต่งก็เกิดไม่ได้ แต่อีกคำหนึ่ง คือ สังขตธรรม คำนี้มีในพระไตรปิฎก ในพระสูตรด้วย
สังขตธรรม หมายความว่า ปรุงแต่งแล้วเกิด ขณะนี้กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ปรุงแต่งแล้วเกิด เพราะฉะนั้น ก็คือเดี๋ยวนี้ทุกขณะปรุงแต่งแล้วเกิด คือแสดงว่าไม่มีใครสามารถจะทำอะไรได้ ทำไมเราไม่รู้ความจริงอันนี้ แต่เราพยายามจะเบี่ยงเบนไปให้เป็นอย่างอื่น เมื่อไรเราถึงจะไม่เป็นอย่างนี้ เมื่อไรเราจะไม่มีโลภะ
เพราะฉะนั้น เราก็ไม่เข้าใจธรรมแม้แต่สังขตธรรมว่า ไม่มีใครทำอะไรได้เลย เมื่อมีเหตุปัจจัย เป็นสภาพธรรมที่เกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย แต่ต้องเมื่อปรุงแต่งแล้วเกิดถึงจะปรากฏในขณะนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นจิตประเภทใดทั้งสิ้นที่เกิด เพราะปรุงแต่งแล้วเกิด จึงได้ปรากฏทั้งนั้น อย่างการฟังในขณะนี้ ใครจะเข้าใจได้มากน้อย เลือกได้ไหม คนที่เข้าใจน้อย ก็อยากจะให้เข้าใจมากๆ แต่เหตุที่จะให้เข้าใจน้อย หรือเข้าใจมากมีหรือเปล่าที่เราจะต่างกัน ตั้งแต่เกิดมา
ผู้ฟัง อันนี้เกิดจากปัจจัยที่ว่า
ท่านอาจารย์ ทุกอย่างเกิดเพราะปัจจัยทั้งหมด
ผู้ฟัง อาจจะเป็นอดีตชาติที่เราได้อบรมมา ส่วนประกอบหนึ่ง ปัจจัยหนึ่ง ใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์ เพราะว่าจิตเป็นสภาพที่สะสมทุกอย่าง อาสยานุสยะ ทั้งฝ่ายกุศล ฝ่ายอกุศล ทั้งกิเลส ทั้งอะไรทั้งหมด ในขณะหนึ่งที่เกิด แล้วเมื่อจิตนั้นดับเป็นปัจจัยให้ขณะต่อไปเกิดสืบทอดทุกอย่าง เพราะฉะนั้น จึงมีการสะสมจากพระชาติที่เป็นพระโพธิสัตว์ จนกว่าจะถึงพระชาติที่ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉันใด แต่ละคนก็เหมือนกัน ถ้าง่วงแล้วก็หิว การเข้าใจธรรมของเราจะเหมือนกับคนที่กำลังมีศรัทธารู้ว่าสิ่งนี้มีประโยชน์มาก ถ้าได้ยินแล้วทำให้เข้าใจขึ้น ยิ่งกว่าลาภใดๆ เพราะเหตุว่าถึงแม้เราจะได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ก็ไม่เท่ากับลาภ คือ ศรัทธาในพระธรรม เพราะว่าเมื่อเจริญยิ่งขึ้น ก็จะทำให้ทุกอย่างเจริญขึ้นด้วยทั้งศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา พวกนี้ เป็นสิ่งซึ่งไม่ใช่เรา แต่ว่าแต่ละคนจะเป็นอย่างไรก็สาวไปหาเหตุได้ว่า ต้องมีเหตุที่สะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น ที่ต่างๆ กัน แล้วเราจะไปอยากทำอะไร
ผู้ฟัง แล้วข้อดีอย่างที่คุณประทีปถามว่า พอรับฟัง ระหว่างที่ฟังธรรม พิจารณาคล้อยตามไป พอจะเข้าใจในระดับหนึ่ง สภาพแช่มชื่นในจิตใจ เราอาจแช่มชื่นที่ได้ฟัง แต่บางครั้งมีอารมณ์มากระทบตา ก็ไม่สามารถที่จะ
ท่านอาจารย์ ทั้งหมดเป็นจิต เจตสิก ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น การอบรมเจริญปัญญา เรายังไม่รู้เจตสิกแต่ละอย่าง เรายังไม่รู้จิตว่าต่างกับเจตสิกอย่างไร เราเพียงแต่เริ่มรู้ความต่างของนามธรรม และรูปธรรมก่อน เพราะฉะนั้น ทุกอย่างจะค่อยๆ เจริญขึ้น จากปัญญาที่อบรม ไม่ใช่เพียงขั้นการฟัง ขั้นการฟังไม่ได้รู้ตัวจริงของธรรมเลย ทั้งๆ ที่ธรรม ทุกอย่างทั้งจิต เจตสิก กำลังเกิดดับทำหน้าที่ต่างๆ แต่ว่าปัญญาขั้นการฟัง เป็นเรื่องราวของจิต และเจตสิก จนกว่าจะถึงอีกระดับหนึ่งซึ่งเป็นการศึกษาลักษณะของจิต และเจตสิกที่กำลังมีในขณะนี้ เมื่อนั้นแหละสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังมาทั้งหมดจะปรากฏ แม้แต่ความต่างของจิต และเจตสิกก็รู้ได้ว่า จิตไม่ใช่เจตสิก ถ้าจะใส่ชื่อลงไปในสติปัฏฐาน ก็คือ จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน แต่ความจริงไม่ต้อง เพราะปัญญาของเรา เวลาที่เราเริ่มศึกษาธรรม เราจะเห็นความต่างอย่างเปรียบเทียบไม่ได้เลย เพราะเรากำลังเริ่มที่จะเข้าใจความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จากพระธรรมที่ทรงแสดงโดยละเอียด แต่ไม่ได้หมายความว่า ปัญญาของเราจะเทียบเท่าหรือสามารถที่จะเข้าถึงทุกคำที่ทรงแสดงไว้ แต่ว่าเริ่มที่จะเห็น และสามารถที่จะเข้าใจตัวเองได้ว่า ปัญญาของเรากำลังอยู่ในระดับไหน ระดับของปริยัติ หรือว่า ระดับของสติปัฏฐานเริ่มเกิด และเมื่อสติปัฏฐานเริ่มเกิด ความรู้ความเข้าใจคือการศึกษาซึ่งเป็นอธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา เพราะว่าละเอียดกว่าสิกขาอื่น เพราะศึกษาลักษณะของสภาพธรรมซึ่งเกิดดับเร็วที่สุด ลองคิดดู การศึกษาสิ่งที่เกิดดับเร็วที่สุด จะยากหรือจะง่าย ต้องใช้เวลานานเท่าไร ก็เป็นเรื่องที่ต้องค่อยๆ อบรมไป แต่ให้รู้ความต่าง แล้วก็เป็นผู้รู้ด้วยตัวเอง เราจะไม่ถามคนอื่น หรือคนอื่นก็บอกเราไม่ได้ว่า เรามีปัญญาเท่าไร หรือสติปัฏฐานเราเกิดหรือเปล่า คนอื่นบอกไม่ได้เลย ผู้ที่รู้กว่าสามารถที่จะบอกได้ เป็นเรื่องรู้กับละ แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นเรื่องเอา อยากได้ พยายามเพื่อที่จะได้ เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่หนทางละ ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะรู้เลย สอนให้ละ ละอะไร ละอกุศลซึ่งเป็นเหตุที่จะให้เกิดวนเวียนในสังสารวัฏฏ์
ผู้ฟัง อาจารย์คะ ท่านสอนให้ทั้งละอกุศล แล้วก็เจริญกุศล ใช่ไหมคะ แล้วเจริญกุศล ก็ทำให้กลับมาเกิดอีกอยู่ดี
ท่านอาจารย์ สอนสมบูรณ์มาก ไม่ใช่เพียง ๒ ระดับ ชำระจิตให้บริสุทธิ์ด้วย ละอกุศล เจริญกุศล ชำระจิตให้บริสุทธิ์ คือ หมายความว่าให้หมดจากกิเลส
ผู้ฟัง ขั้นภาวนา ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้น ขณะที่เรากำลังทำกุศล ถ้าเราระลึกในขณะนั้นได้ว่า เป็นกุศลที่กำลังทำ แล้วไม่ใช่จิต ไม่ใช่ตัวเรา
ท่านอาจารย์ แต่ไม่ใช่เรื่อง ต้องมีลักษณะของสภาพธรรม และสามารถที่จะรู้ว่าลักษณะนั้นเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม
ผู้ฟัง ขณะนั้นเป็นภาวนา ใช่ไหมคะ
ท่านอาจารย์ ภาวนาหมายความว่าอบรมให้สิ่งที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น ให้สิ่งที่เกิดแล้ว เจริญขึ้น