สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๖๕


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๖๕


    ผู้ฟัง ศึกษาธรรมแล้ว เรารู้จักตัวเราเองดีได้แค่ไหน อยู่ในฐานะอะไร ที่จะไปหวัง ที่จะเป็นอย่างนั้นๆ โดยตัวเองมีความรู้แค่ไหน หรือว่าผู้นั้นจะต้องรู้จักตัวเอง ถูกไหมครับ ท่านอาจารย์ว่า เราเข้าใจพระธรรมได้แค่นี้ เราก็สามารถ

    ท่านอาจารย์ เราได้ยินคำว่าอวิชชาบ่อยๆ แล้วอยู่ที่ไหน คือ ขณะที่ไม่รู้ แล้ววิชชาคือขณะที่รู้ แล้วเราก็ต้องรู้จักตามความเป็นจริง ใช่ไหมคะ ไม่ใช่เรา ไม่รู้ก็ต้องเป็นอวิชชา รู้เมื่อไรก็เป็นวิชชาเมื่อนั้น เป็นธรรมหมดเลยทุกขณะ

    ผู้ฟัง ต้องรู้จักฐานะของตัวเองตามความเป็นจริงด้วย ตรงนี้สิครับ ต้องรู้ฐานะตามความเป็นจริง ก็คิดว่าเรารู้แล้ว หรือรู้มากแล้ว อะไรอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ อันนั้นก็ผิด

    ผู้ฟัง ผิดครับ มีอะไรเป็นเครื่องเตือนให้ว่า นี่หวังเกินแล้วนะ ฐานะอย่างนี้ไม่ใช่ฐานะ

    ท่านอาจารย์ ก็รู้สิคะว่า เราหวังอะไร ถ้าหวังไม่มีอกุศลก็เกินฐานะแล้ว ถ้าอยากเกิดก็คือเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง เป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม เกิดแล้วก็ดับไป เดี๋ยวก็เกิดจะกลัวโน่นกลัวนี่ ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ นั่นก็ไม่ถูกต้อง ต้องเป็นผู้ที่อาจหาญร่าเริง มีข้อความนี้ในพระไตรปิฎก เพราะว่าธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ลึก สุขุม เพราะฉะนั้น การที่เราอยู่ฝั่งของกิเลส แล้วจะไปสู่อีกฝั่งหนึ่ง ที่จะพ้นจากกิเลสก็ต้องเป็นเรื่องที่ละเอียด

    ผู้ฟัง ขอกราบเรียนถามท่านอาจารย์ครับ วันนี้ทุกๆ คนก็ทราบว่าเป็นวันสำคัญของทางสหรัฐอเมริกา และของทางโลกด้วย ซึ่งเขามีการระลึกถึงความพินาศอันใหญ่หลวง ซึ่งเกิดขึ้นที่เวิลด์เทรดบิวดิ้ง ที่นิวยอร์ค อยากจะข้อคำแนะนำ และความเห็นของท่านอาจารย์ว่า ความเข้าใจของเราที่ถูกต้อง มันควรจะเป็นอย่างไรครับ

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นธรรมดาของชีวิต ใช่ไหมคะ มีสุข มีทุกข์ ใครจะหลีกเลี่ยงได้ แล้วแต่ว่าวันไหนเป็นสุข วันไหนเป็นทุกข์ ก็แล้วแต่เหตุที่ทำมา เพราะว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น จะเกิดขึ้นเองลอยๆ โดยไม่มีเหตุไม่ได้เลย เพราะว่าขณะนี้ก็มีทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังปรากฏ แต่ผู้ที่ไม่รู้ ก็ไม่รู้เลยว่า สิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร แต่เมื่อพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรม ซึ่งหมายความว่า ความจริงนั้นต้องจริงในขณะที่ปรากฏ ก็ได้ทรงแสดงพระธรรม ใช้คำว่าพระธรรม ก็หมายความว่าเป็นสิ่งที่มีจริง แล้วก็ไม่มีเจ้าของ ไม่ใช่ของใคร ถ้าใช้คำว่าธรรมหรือธาตุ ความหมายเหมือนกัน เวลาที่เราพูดถึงธาตุหนึ่งธาตุใด เช่น ธาตุไฟที่ร้อน เราก็ไม่เคยจะไปยึดถือธาตุไฟนั้นว่าเป็นเรา หรือของเรา

    เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่เป็นธาตุก็คือเป็นสภาพธรรมที่มีจริงแต่ละอย่าง ซึ่งมีลักษณะปรากฏให้รู้ได้แต่ละทางว่าต่างกัน แล้วก็เป็นธรรมที่เกิดขึ้นด้วยจึงปรากฏ

    สำหรับธรรมก็เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง เพราะเหตุว่าเป็นพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดง เพราะฉะนั้น จะเปลี่ยนจากการไม่รู้ของชาวโลกมาสู่การที่จะค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนหรือทรงแสดงธรรมอะไร ก็เป็นเรื่องที่ต้องทรงศึกษาด้วยความศรัทธามั่นคงจริงๆ ที่เชื่อว่า พระองค์เป็นพระบรมศาสดา ซึ่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่าได้เลย ไม่ว่าจะเป็นในพรหมโลก หรือว่าเทวโลก หรือว่ามนุษย์โลก ในจักรวาลทั้งหมดก็ไม่มีใครที่จะมีปัญญาเท่ากับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็คงจะเข้าใจอย่างนี้มานานแล้ว แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ฟังธรรมจริงๆ จากการตรัสรู้ว่า ทรงแสดงเรื่องอะไร แต่ที่แน่ๆ ไม่มีอะไรที่ไม่ได้ทรงแสดง ข้อสำคัญที่สุดก็คือว่า ก่อนที่จะได้ศึกษา เราเข้าใจธรรมเอาเอง เราคิดเอง คนหนึ่งก็คิดอย่างหนึ่ง อีกคนหนึ่งก็คิดอีกอย่างหนึ่ง หรือว่าไปเจอข้อความตอนหนึ่งตอนใดในพระไตรปิฎกก็เข้าใจเพียงบางส่วนบางตอน ไม่สามารถที่จะสอดคล้องกันได้ทั้งหมด แต่ว่าการศึกษาทุกอย่างต้องเริ่มต้นตามลำดับ ไม่ใช่เราไปเริ่มต้นอริยสัจ ๔ ปฎิจจสมุปปาท แล้วก็กลับมาหาต้น เพราะว่าอริยสัจ ๔ เป็นยอดของพระธรรม ซึ่งผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจ ๔ จะเป็นพระอริยบุคคล เพราะเหตุว่าใช้คำว่า อริยสัจจธรรม หรือว่าอริยสัจจธรรม ๔ ถ้าเราค่อยๆ ฟังไปทีละคำ แล้วค่อยๆ พิจารณาให้เป็นปัญญาความเข้าใจถูกของเราเอง จากอริยสัจจธรรม เราก็เริ่มต้นจากคำว่าธรรม ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง จริง เพราะว่าทุกคนสามารถจะรู้ สามารถจะพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง สิ่งใดที่มีจริงในขณะนี้ ทั้งหมดเป็นธรรม ซึ่งมีลักษณะต่างกัน

    เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจความหมายว่าสิ่งใดก็ตามที่มีจริง เกิดขึ้น ปรากฏให้รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นธรรมทั้งหมด เราก็น่าจะคิดเองได้ ใช่ไหมคะ ทดสอบความเข้าใจธรรมของเราได้ว่า ขณะนี้เสียงเป็นธรรมหรือเปล่า เป็น เห็นขณะนี้ เป็นธรรมหรือเปล่า เป็น คิด เป็นธรรมไหมคะ สุข ทุกข์ ทั้งวันเป็นธรรมทั้งหมด แต่ว่าเราไม่เคยเข้าใจเลย เรายึดถือสภาพนั้นๆ ว่า เป็นเรา แต่ลักษณะที่มีจริงในวันหนึ่งๆ อย่างความขุ่นเคืองใจ มีลักษณะจริงๆ พอเกิดขึ้นทีไรก็ไม่สบายใจ จะเปลี่ยนความขุ่นเคืองใจให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ความขุ่นเคืองใจเป็นธรรมชนิดหนึ่ง เมื่อมีปัจจัยคือได้เห็นสิ่งซึ่งไม่น่าพอใจ ได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ซึ่งทำให้เกิดความทุกข์ทางกาย เหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ จะให้โลภะ ความติดข้องเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะว่าเมื่อมีเหตุที่จะทำให้ขุ่นเคืองใจ ความขุ่นเคืองใจจึงโกรธ แล้วเดียวนี้มีความขุ่นเคืองใจหรือเปล่า ตอนนี้ไม่มี ใช่ไหมคะ หายไปไหน ความขุ่นเคืองใจ

    แสดงว่า ทุกอย่างที่เกิด ดับ ไม่เที่ยง ก็ตรงกับความหมายที่ได้ทรงแสดงว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สังขารธรรมก็หมายความถึงธรรมที่มี มีเหตุปัจจัยจึงจะเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย อย่างเห็นเป็นธรรมหรือเปล่า กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เป็นธรรม คือทุกอย่างที่มีจริง เราเริ่มเข้าใจแล้วว่า เป็นธรรมทั้งหมด แล้วก็ทรงแสดงธรรม คือ ทรงแสดงเรื่องความจริงของสภาพธรรมทั้งหมดที่มีจริงในขณะนี้

    ที่ว่าเป็นอนัตตา ไม่ใช่ของเรา แล้วก็บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีจักขุปสาท เห็นได้ไหมคะ คนตาบอด จะให้คนตาบอดบังคับอย่างไร ขอร้องอย่างไรให้คนตาบอดเห็น คนตาบอดก็เห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้น แม้แต่การเห็น ก็เป็นธรรม ซึ่งต้องอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ในขณะที่ได้ยิน ไม่ใช่เห็น ขณะได้ยิน กำลังมีสิ่งที่เป็นเสียงปรากฏทางหู แต่ขณะที่เห็นเป็นอีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ได้ยิน เป็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ ที่เห็นจึงรู้ว่า ขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นอย่างนี้ทางตา สำหรับเสียง เวลาที่เสียงปรากฏก็ต่างกับสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เพราะฉะนั้น จะให้พร้อมกันไม่ได้ เป็นอย่างเดียวกันไม่ได้ ก็ต้องเป็นธรรมคนละอย่าง

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ธรรมแต่ละอย่างเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัยเฉพาะอย่างๆ เมื่อมีเสียงกระทบหูก็ได้ยิน ถ้ามีสิ่งที่ปรากฏทางตากระทบตาก็เห็น แม้แต่การลิ้มรส รสก็ต้องกระทบกับชิวหาปสาท ซึ่งเป็นลิ้นที่สามารถรู้รส กระทบกับรสได้ แต่ไม่สามารถที่จะลิ้มรสได้ เพียงแต่กระทบกับรสได้เท่านั้น ส่วนสภาพที่รู้รสเป็นอีกอย่างหนึ่ง

    นี่ก็เป็นความละเอียดของธรรม ซึ่งเริ่มเห็นว่า เป็นธรรม เป็นสัจจธรรม เพราะเหตุว่ามีจริง แล้วก็เปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงนั้นไม่ได้เลย มีใครเปลี่ยนรสให้เป็นเสียงได้ไหมคะ ไม่ได้

    นี่คือธรรมทั้งวัน ทั้งหมด เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องธรรม และสัจจะ แล้วก็อริยะ ถ้าผู้ใดที่สามารถประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมซึ่งเกิดแล้วดับ สามารถที่จะคลายความเป็นตัวเรา เพราะเหตุว่าจริงๆ แล้วสภาพธรรมที่เพียงเกิดแล้วดับ สิ่งที่เกิดแล้วดับไปแล้วเป็นของใคร ไม่มีเหลือเลย เพราะฉะนั้น สภาพธรรมใดที่เกิด สภาพธรรมนั้นเกิดเพื่อดับไปตลอดเวลา สังสารวัฏฏ์ คือ เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับ เกิดขึ้นได้ยินแล้วก็ดับ เกิดขึ้นคิดนึกแล้วก็ดับ

    นี่คือชีวิตประจำวัน ซึ่งเกิดแล้วก็ต้องหมดไป หมดไป หมดไป ไม่เที่ยงแล้วก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของด้วย

    อันนี้ก็พอจะเข้าใจหรือรู้จักธรรม ซึ่งมีจริงๆ แล้วก็ค่อยๆ มีความเข้าใจถูกต้องว่าธรรมที่มีจริง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่คนหนึ่งคนใดเลย เป็นแต่เพียงสภาพธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งเกิดแล้วก็ดับไป กำลังเป็นธรรมทั้งหมดเลย แล้วถ้าเอาชื่อออก เห็นเหมือนกันหมดเลย ทุกคนที่เห็น เพราะฉะนั้น เห็นก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ถ้าได้ยิน ทุกคนที่ได้ยินก็ไม่ใช่เรา สัตว์ได้ยินไหม นกได้ยินไหม สุนัขได้ยินไหม เอารูปร่างออกหมด เอารูปร่างคนออก เอารูปร่างสุนัขออก ได้ยินก็ยังคงได้ยิน เพราะฉะนั้น ได้ยินก็เป็นธรรมชนิดหนึ่งซึ่งก็ไม่ใช่ของใครเลย เพียงเกิดขึ้นได้ยินแล้วก็หมดไป

    ผู้ฟัง ความรู้แค่ไหน หรือว่าผู้นั้นจะต้องรู้จักตัว เอง ถูกไหมครับ ท่านอาจารย์ว่า เราเข้าใจพระธรรมได้แค่นี้ เราก็สามารถ

    ท่านอาจารย์ เราได้ยินคำว่าอวิชชาบ่อยๆ แล้วอยู่ที่ไหน คือ ขณะที่ไม่รู้ แล้ววิชชาคือ ขณะที่รู้ แล้วเราก็ต้องรู้จักตามความเป็นจริง ใช่ไหมคะ ไม่ใช่เรา ไม่รู้ก็ต้องเป็นอวิชชา รู้เมื่อไรก็เป็นวิชชาเมื่อนั้น เป็นธรรมหมดเลยทุกขณะ

    ผู้ฟัง ต้องรู้จักฐานะของตัวเองตามความเป็นจริงด้วย ตรงนี้สิครับ ต้องรู้ฐานะตามความเป็นจริง ก็คิดว่าเรารู้แล้ว หรือรู้มากแล้ว อะไรอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ อันนั้นก็ผิด

    ผู้ฟัง ผิดครับ มีอะไรเป็นเครื่องเตือนให้ว่า นี่หวังเกินแล้วนะ ฐานะ อย่างนี้ไม่ใช่ฐานะ

    ท่านอาจารย์ ก็รู้สิคะว่า เราหวังอะไร ถ้าหวังไม่มีอกุศลก็เกินฐานะแล้ว ถ้าอยากเกิดก็ คือเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง เป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม เกิดแล้วก็ดับไป เดี๋ยวก็เกิด จะกลัวโน่นกลัวนี่ ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ นั่นก็ไม่ถูกต้อง ต้องเป็นผู้ที่อาจหาญ ร่าเริง มีข้อความนี้ในพระไตรปิฎก เพราะว่าธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ลึก สุขุม เพราะ ฉะนั้น การที่เราอยู่ฝั่งของกิเลส แล้วจะไปสู่อีกฝั่งหนึ่ง ที่จะพ้นจากกิเลสก็ต้องเป็นเรื่อง ที่ละเอียด

    ผู้ฟัง ขอกราบเรียนถามท่านอาจารย์ครับ วันนี้ทุกๆ คนก็ทราบว่าเป็นวันสำคัญ ของทางสหรัฐอเมริกา และของทางโลกด้วย ซึ่งเขามีการระลึกถึงความพินาศอันใหญ่ หลวง ซึ่งเกิดขึ้นที่เวิลด์เทรดบิวดิ้ง ที่นิวยอร์ค อยากจะข้อคำแนะนำ และความเห็นของ ท่านอาจารย์ว่า ความเข้าใจของเราที่ถูกต้อง มันควรจะเป็นอย่างไรครับ

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นธรรมดาของชีวิต ใช่ไหมคะ มีสุข มีทุกข์ ใครจะหลีกเลี่ยงได้ แล้ว แต่ว่าวันไหนเป็นสุข วันไหนเป็นทุกข์ ก็แล้วแต่เหตุที่ทำมา เพราะว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น จะเกิดขึ้นเองลอยๆ โดยไม่มีเหตุไม่ได้เลย เพราะว่าขณะนี้ก็มีทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลัง ปรากฏ แต่ผู้ที่ไม่รู้ ก็ไม่รู้เลยว่า สิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร แต่เมื่อพระผู้มีพระ- ภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรม ซึ่งหมายความว่า ความจริงนั้นต้องจริงในขณะที่ปรากฏ ก็ได้ทรงแสดงพระธรรม ใช้คำว่าพระธรรม ก็หมาย ความว่าเป็นสิ่งที่มีจริง แล้วก็ไม่มีเจ้าของ ไม่ใช่ของใคร ถ้าใช้คำว่าธรรมหรือธาตุ ความ หมายเหมือนกัน เวลาที่เราพูดถึงธาตุหนึ่งธาตุใด เช่น ธาตุไฟที่ร้อน เราก็ไม่เคยจะไป ยึดถือธาตุไฟนั้นว่าเป็นเรา หรือของเรา

    เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่เป็นธาตุก็คือเป็นสภาพธรรมที่มีจริงแต่ละอย่าง ซึ่งมี ลักษณะปรากฏให้รู้ได้แต่ละทางว่าต่างกัน แล้วก็เป็นธรรมที่เกิดขึ้นด้วยจึงปรากฏ

    สำหรับธรรมก็เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง เพราะเหตุว่าเป็นพระธรรมที่พระ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดง เพราะฉะนั้น จะเปลี่ยนจากการไม่รู้ ของชาวโลกมาสู่การที่จะค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน หรือทรงแสดงธรรมอะไร ก็เป็นเรื่องที่ต้องทรงศึกษาด้วยความศรัทธามั่นคงจริงๆ ที่เชื่อ ว่า พระองค์เป็นพระบรมศาสดา ซึ่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่าได้เลย ไม่ว่าจะเป็นในพรหมโลก หรือว่าเทวโลก หรือว่ามนุษย์โลก ในจักรวาลทั้งหมดก็ไม่มีใครที่จะมีปัญญาเท่ากับพระ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็คงจะเข้าใจอย่างนี้มานานแล้ว แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ฟัง ธรรมจริงๆ จากการตรัสรู้ว่า ทรงแสดงเรื่องอะไร แต่ที่แน่ๆ ไม่มีอะไรที่ไม่ได้ทรงแสดง ข้อสำคัญที่สุดก็คือว่า ก่อนที่จะได้ศึกษา เราเข้าใจธรรมเอาเอง เราคิดเอง คนหนึ่งก็ คิดอย่างหนึ่ง อีกคนหนึ่งก็คิดอีกอย่างหนึ่ง หรือว่าไปเจอข้อความตอนหนึ่งตอนใดใน พระไตรปิฎกก็เข้าใจเพียงบางส่วนบางตอน ไม่สามารถที่จะสอดคล้องกันได้ทั้งหมด แต่ว่าการศึกษาทุกอย่างต้องเริ่มต้นตามลำดับ ไม่ใช่เราไปเริ่มต้นอริยสัจ ๔ ปฎิจจสมุปปาท แล้วก็กลับมาหาต้น เพราะว่าอริยสัจ ๔ เป็นยอดของพระธรรม ซึ่งผู้ที่รู้ แจ้งอริยสัจ ๔ จะเป็นพระอริยบุคคล เพราะเหตุว่าใช้คำว่า อริยสัจธรรม หรือว่าอริยสัจ- ธรรม ๔ ถ้าเราค่อยๆ ฟังไปทีละคำ แล้วค่อยๆ พิจารณาให้เป็นปัญญาความเข้าใจถูกของ เราเอง จากอริยสัจธรรม เราก็เริ่มต้นจากคำว่าธรรม ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง จริง เพราะว่า ทุกคนสามารถจะรู้ สามารถจะพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง สิ่งใดที่มีจริงในขณะนี้ ทั้งหมดเป็น ธรรม ซึ่งมีลักษณะต่างกัน

    เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจความหมายว่าสิ่งใดก็ตามที่มีจริง เกิดขึ้น ปรากฏให้รู้ว่าเป็น สิ่งที่มีจริงเป็นธรรมทั้งหมด เราก็น่าจะคิดเองได้ ใช่ไหมคะ ทดสอบความเข้าใจธรรม ของเราได้ว่า ขณะนี้เสียงเป็นธรรมหรือเปล่า เป็น เห็นขณะนี้ เป็นธรรมหรือเปล่า เป็น คิด เป็นธรรมไหมคะ สุข ทุกข์ ทั้งวันเป็นธรรมทั้งหมด แต่ว่าเราไม่เคยเข้าใจเลย เรา ยึดถือสภาพนั้นๆ ว่า เป็นเรา แต่ลักษณะที่มีจริงในวันหนึ่งๆ อย่างความขุ่นเคืองใจ มี ลักษณะจริงๆ พอเกิดขึ้นทีไรก็ไม่สบายใจ จะเปลี่ยนความขุ่นเคืองใจให้เป็นอย่างอื่นไม่ ได้เลย เพราะฉะนั้น ความขุ่นเคืองใจเป็นธรรมชนิดหนึ่ง เมื่อมีปัจจัยคือได้เห็นสิ่งซึ่งไม่ น่าพอใจ ได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ซึ่งทำให้เกิดความ ทุกข์ทางกาย เหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ จะให้โลภะ ความติดข้องเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะว่าเมื่อมีเหตุที่จะทำให้ขุ่นเคืองใจ ความขุ่นเคืองใจจึงโกรธ แล้วเดียวนี้มีความขุ่น เคืองใจหรือเปล่า ตอนนี้ไม่มี ใช่ไหมคะ หายไปไหน ความขุ่นเคืองใจ

    แสดงว่า ทุกอย่างที่เกิด ดับ ไม่เที่ยง ก็ตรงกับความหมายที่ได้ทรงแสดงว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สังขารธรรมก็หมายความถึงธรรมที่มี มี เหตุปัจจัยจึงจะเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย อย่างเห็นเป็นธรรม หรือเปล่า กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เป็นธรรม คือทุกอย่างที่มีจริง เราเริ่มเข้าใจแล้วว่า เป็น ธรรมทั้งหมด แล้วก็ทรงแสดงธรรม คือ ทรงแสดงเรื่องความจริงของสภาพธรรมทั้ง หมดที่มีจริงในขณะนี้

    ที่ว่าเป็นอนัตตา ไม่ใช่ของเรา แล้วก็บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะเหตุว่าถ้าไม่มี จักขุปสาท เห็นได้ไหมคะ คนตาบอด จะให้คนตาบอดบังคับอย่างไร ขอร้องอย่างไรให้ คนตาบอดเห็น คนตาบอดก็เห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้น แม้แต่การเห็น ก็เป็นธรรม ซึ่งต้อง อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ในขณะที่ได้ยิน ไม่ใช่เห็น ขณะได้ยิน กำลังมีสิ่งที่เป็นเสียง ปรากฏทางหู แต่ขณะที่เห็นเป็นอีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ได้ยิน เป็นสิ่งที่กำลังปรากฏทาง ตาในขณะนี้ ที่เห็นจึงรู้ว่า ขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นอย่างนี้ทางตา สำหรับเสียง เวลา ที่เสียงปรากฏก็ต่างกับสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เพราะฉะนั้น จะให้พร้อมกันไม่ได้ เป็น อย่างเดียวกันไม่ได้ ก็ต้องเป็นธรรมคนละอย่าง

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ธรรมแต่ละอย่างเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัยเฉพาะอย่างๆ เมื่อมี เสียงกระทบหูก็ได้ยิน ถ้ามีสิ่งที่ปรากฏทางตากระทบตาก็เห็น แม้แต่การลิ้มรส รสก็ ต้องกระทบกับชิวหาปสาท ซึ่งเป็นลิ้นที่สามารถรู้รส กระทบกับรสได้ แต่ไม่สามารถที่จะ ลิ้มรสได้ เพียงแต่กระทบกับรสได้เท่านั้น ส่วนสภาพที่รู้รสเป็นอีกอย่างหนึ่ง

    นี่ก็เป็นความละเอียดของธรรม ซึ่งเริ่มเห็นว่า เป็นธรรม เป็นสัจธรรม เพราะเหตุ ว่ามีจริง แล้วก็เปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงนั้นไม่ได้เลย มีใครเปลี่ยน รสให้เป็นเสียงได้ไหมคะ ไม่ได้

    นี่คือธรรมทั้งวัน ทั้งหมด เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องธรรม และสัจจะ แล้วก็อริยะ ถ้าผู้ใดที่สามารถประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมซึ่งเกิดแล้วดับ สามารถที่จะคลาย ความเป็นตัวเรา เพราะเหตุว่าจริงๆ แล้วสภาพธรรมที่เพียงเกิดแล้วดับ สิ่งที่เกิดแล้วดับ ไปแล้วเป็นของใคร ไม่มีเหลือเลย เพราะฉะนั้น สภาพธรรมใดที่เกิด สภาพธรรมนั้น เกิดเพื่อดับไปตลอดเวลา สังสารวัฏฏ์ คือ เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับ เกิดขึ้นได้ยินแล้วก็ดับ เกิดขึ้นคิดนึกแล้วก็ดับ

    นี่คือชีวิตประจำวัน ซึ่งเกิดแล้วก็ต้องหมดไป หมดไป หมดไป ไม่เที่ยงแล้วก็ไม่มี ใครเป็นเจ้าของด้วย

    อันนี้ก็พอจะเข้าใจหรือรู้จักธรรม ซึ่งมีจริงๆ แล้วก็ค่อยๆ มีความเข้าใจถูกต้องว่า ธรรมที่มีจริง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่คนหนึ่งคนใดเลย เป็นแต่เพียงสภาพธรรม แต่ละอย่าง ซึ่งเกิดแล้วก็ดับไป กำลังเป็นธรรมทั้งหมดเลย แล้วถ้าเอาชื่อออก เห็น เหมือนกันหมดเลย ทุกคนที่เห็น เพราะฉะนั้น เห็นก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ถ้าได้ยิน ทุก คนที่ได้ยินก็ไม่ใช่เรา สัตว์ได้ยินไหม นกได้ยินไหม สุนัขได้ยินไหม เอารูปร่างออกหมด เอารูปร่างคนออก เอารูปร่างสุนัขออก ได้ยินก็ยังคงได้ยิน เพราะฉะนั้น ได้ยินก็เป็น ธรรมชนิดหนึ่งซึ่งก็ไม่ใช่ของใครเลย เพียงเกิดขึ้นได้ยินแล้วก็หมดไป


    หมายเลข 9506
    20 ส.ค. 2567