มีอะไรเป็นฐาน หรือ ประเด็นไหน ก่อนที่จะนำมาสู่การศึกษาธรรม


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๖๘


    ผู้ฟัง ในการที่เราจะศึกษาธรรม ในสภาพที่รู้สภาพธรรมที่อาจารย์เรียน ผมอยากถามว่า เบื้องต้นเราจะต้องมีการที่จะมีอะไรเป็นฐาน ไม่รู้จะหยิบตรงจุดไหนประเด็นไหนก่อนที่จะเริ่มต้น ที่จะนำมาศึกษา

    ท่านอาจารย์ สำหรับดิฉันเองไม่มีใครพาไปวัด แต่อาจจะมีความสนใจในเรื่องของพระธรรมบ้างตอนเป็นเด็ก แต่ก็ไม่ได้คิดว่า ตัวเองจะมาศึกษาพระธรรม แล้วก็ตลอดชีวิตนี้ก็ไม่เคยทอดทิ้งการศึกษา แล้วการที่จะช่วยให้ผู้อื่นได้มีความรู้ ความเข้าใจ ตามเท่าที่ได้ศึกษาแล้ว ก็เป็นเรื่องของการที่ได้ทำโดยก็ไม่รู้ว่า ตัวเองจะเป็นบุคคลที่ทำอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เราจะไม่รู้เลยว่า วันนี้เราเป็นอย่างนี้ วันหน้าเราจะเป็นอย่างไร นี่แสดงให้เห็นความเป็นอนัตตาจริงๆ

    เพราะฉะนั้น แต่ละคนจะเริ่มสนใจพระธรรมเมื่อไร ก็แล้วแต่แต่ละบุคคล แต่ว่าเวลาที่ดิฉันเริ่มเรียนศึกษาพระอภิธรรม หรือว่าอภิธัมมัตถสังคหะก่อน แต่ส่วนเรื่องของพระวินัย พระสูตร ก็รู้บ้างพอสมควร แต่ไม่ใช่เป็นการศึกษาอย่างจริงจัง แต่ที่เริ่มศึกษาจริงจัง คือ เริ่มจากพระอภิธรรม ทำให้เข้าใจความหมาย ทำให้เข้าใจว่า พระธรรมที่ทรงตรัสรู้คืออะไร เพราะว่าถ้าเราเพียงอ่านพระสูตร เข้าใจผิดได้ เพราะเราไม่รู้ว่าเป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา เวลาที่อ่านพระสูตรก็เหมือนกับว่า ทรงแสดงให้เราทำอย่างนั้นเราทำอย่างนี้ เช่น ละชั่ว ทำความดี ชำระจิตให้บริสุทธิ์ เราก็คิดว่าเป็นเราที่ทำ ละชั่วก็เป็นเรา ทำความดีก็เป็นเรา และชำระจิตให้บริสุทธิ์ ตอนนั้นก็ถ้ายังไม่เรียนก็จะไม่รู้เลยว่า หนทางที่จะชำระจิตให้บริสุทธิ์คืออย่างไร เพราะเราเพียงรู้จักเล็กๆ น้อยๆ เช่น ชั่ว ดี ก็พอจะทราบว่า ละชั่วคือละอะไร กาย วาจาที่ไม่ดี ทำความดีก็พอจะรู้ว่า ขั้นทาน ขั้นศีล

    เพราะฉะนั้น ขั้นทาน ขั้นศีล ก็เป็นที่เข้าใจกันอยู่เกือบจะเป็นอุปนิสัยของชาวพุทธ ไม่ว่าจะเป็นชาวไทย หรือว่าชาวต่างประเทศที่นับถือพุทธศาสนา ก็มีหลักของศาสนา ทำให้เราประพฤติปฏิบัติในทางทาน และศีล แต่เหนือสิ่งอื่นใด ถ้าเราไม่มีการศึกษาพระอภิธรรม เราจะไม่รู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เราจะเห็นแต่พระพุทธรูป แล้วเราก็กราบไหว้ สรรเสริญ บูชา แต่ว่าบูชาในอะไร ถ้าเราไม่ศึกษาพระธรรม เราจะเห็นพระปัญญาคุณได้ไหมคะ ไม่รู้เลยว่า ทรงตรัสรู้อะไร จะเห็นในพระบริสุทธิคุณว่า ก่อนที่จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมียิ่งกว่าที่จะเป็นเพียงพระปัจเจกพระพุทธเจ้าซึ่งสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่ว่าไม่ทรงถึงพร้อมด้วยทศพลญาณ หรือพระญาณอื่นๆ ที่จะทรงแสดงธรรมที่ได้ตรัสรู้โดยละเอียด โดยนัยประการทั้งปวง เพื่ออนุเคราะห์ให้ผู้ที่ได้ศึกษามีความเข้าใจถูกต้องเพิ่มขึ้นๆ

    เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มจากพระอภิธรรม แต่ถ้าจะไปจับพระอภิธรรมปิฎก ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้เลย เทียบปัญญาของคนสมัยก่อนกับปัญญาของเรา สมัยนี้ ยุคนี้ เวลาที่จะอ่านหรือศึกษาพระไตรปิฎก รู้เลยว่า พระไตรปิฎกทั้งหมดเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระอรหันต์ทั้งหลายก็ได้ทรงจำ ท่องด้วยปาก สืบทอดกันมาจนกระทั่งจารึกเป็นพระไตรปิฎก จนกระทั่งถึงสมัยของเรา ห่างไกล ๒,๕๐๐ กว่าปี ซึ่งใน ๒,๕๐๐ กว่าปีสำหรับผู้ที่ได้อบรมปัญญามาแล้ว จะไม่นานเท่าไร เกิดกี่ครั้ง กี่ชาติ ก็คงจะ ๒,๕๐๐ กว่าปี แล้วปัญญาที่ได้สะสมมาแล้ว ที่ได้เคยฟังมาแล้ว ก็อบรมต่อไปได้ แต่ว่าสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ฟังพระธรรมเลย ก็ค่อยๆ อบรมได้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้นได้ โดยที่ว่าเมื่อได้เริ่มศึกษา จะเห็นพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณจริงๆ ที่ ๔๕ พรรษาทรงแสดงพระธรรมมากกว่าบุคคลอื่นๆ ทั้งหมด เวลาที่บรรทมหรือนอนก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง นอกจากนั้นก็ทรงบำเพ็ญประโยชน์แก่สัตว์โลก

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด เป็นลาภานุตตริยะ เป็นลาภที่ยอดเยี่ยมกว่าลาภอื่น เพราะว่าลาภอื่นเราก็ได้มาในชาตินี้ แต่ก็เอาไปชาติหน้าไม่ได้ แต่ลาภคือศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัยที่จะทำให้เรามีโอกาสได้ฟังอีก ได้เข้าใจอีก เพราะเหตุว่าธรรมลึกซึ้งมาก เราก็คงจะต้องมีโอกาสได้ฟังต่อไป แล้วก็ได้อบรมความรู้ความเข้าใจยิ่งขึ้น เพียงว่าอย่าท้อถอย เพราะเหตุว่าเราเริ่มจะรู้ว่า ทั้งหมดที่เราจะศึกษาเป็นปัญญาของผู้ที่รู้แล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อเริ่มศึกษา เราจะสามารถรู้ปัญญาของเราเองได้ว่า ปัญญาของเราระดับไหน ด้วยความไม่ประมาทเลย ด้วยความเคารพ ด้วยการศึกษาในเหตุในผลอย่างละเอียด ก็จะทำให้เราสามารถที่จะทำให้เรามีความเห็นถูกต้อง ไม่เห็นผิดได้


    หมายเลข 9509
    20 ส.ค. 2567