ต้องเรียนโดยสัญญา คือการเรียนท่องจำก่อน ใช่ไหม
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๗๐
ผู้ฟัง ก็มีการที่จะเริ่มศึกษาพระอภิธรรม เพื่อที่จะรับทราบว่า จิตมีกี่ดวง เจตสิกต่างๆ เราก็ต้องเรียนโดยสัญญา คือการเรียนท่องจำก่อน ใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องท่องเลย ถ้าเข้าใจว่า ทุกอย่างเป็นธรรม สิ่งที่มีจริง มีจริงขณะที่เกิดปรากฏ ต้องท่องไหมคะ
ผู้ฟัง ทีนี้ที่มาใช้ว่าเป็นเจตสิก หรือว่าเป็นฝ่ายอะไรต่างๆ จะมีกี่ดวง ๖ ดวงหรือประกอบกับกุศลกรรม อกุศลกรรม เราไม่สามารถที่จะนำมาพิจารณาได้ เมื่อเราไม่มีความรู้
ท่านอาจารย์ เรียนเพื่อเข้าใจว่า เวลาที่จิตเห็น กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยน้อยกว่าขณะที่เป็นจิตอื่น เช่น โลภมูลจิต หรือโทสมูลจิต หรือกุศลจิต ให้รู้ความต่างกันของประเภทของจิตว่า จิตแต่ละอย่างเกิดขึ้นทำกิจการงานจะต้องมีเจตสิกอะไรเกิดร่วมด้วย ถ้าไม่มีโมหะ อหิริกะ อโนตตัปปะ อุทธัจจะ อกุศลจิตก็เกิดไม่ได้
เพราะฉะนั้น ก็รู้ว่าในขณะที่เป็นอกุศล ต้องมีเจตสิกฝ่ายอกุศลเกิดขึ้นเท่าไร ถ้าเป็นความเห็นผิด ความเห็นผิดก็มีจริง ก็เป็นทิฏฐิเจตสิก ก็ต้องเพิ่มทิฏฐิเจตสิก ตามความเข้าใจ ไม่ต้องไปท่องจำอะไรเลย พระสาวกมีปัญญาเท่ากันไหมคะ อย่างท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ และท่านพระอานนท์ ท่านพระอนุรุทธะ ก็ตามการสะสม
เป็นเรื่องที่จะต้องฟังไปตลอดชีวิต แล้วก็ไม่ใช่ชาติเดียว ถ้าอ่านประวัติของพระสาวก ไม่ใช่ฟังครั้งเดียวชาติเดียวเลย ท่านจะแสดงอดีตชาติของท่านว่า ท่านพระสารีบุตรได้อบรมปัญญามาเท่าไร ท่านพระอานนท์เท่าไร ก็เป็นเรื่องที่จะเห็นได้ว่า ทุกอย่างไม่ใช่เพียงแต่ขั้นฟังแล้วคิด แต่ต้องสามารถประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมนั้นจริงๆ ได้ ทุกอย่างที่กล่าว พิสูจน์ได้ เป็นจริงได้ในวันหนึ่ง แต่ต้องเป็นปัญญาจึงจะรู้ได้ เพราะเหตุว่าอวิชชาไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น แม้สิ่งนั้นกำลังเผชิญหน้า ก็ไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้น นั่นคือลักษณะของอวิชชา ตรงกันข้ามกับวิชชา