กรรมเป็นสภาพที่ปกปิด


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๗๑


    ผู้ฟัง ขอเรียนถามท่านอาจารย์เรื่องของกรรม กรรมที่เราทำในปัจจุบัน ที่เรารู้ว่า เราทำไปโดยการไปฆ่าสัตว์หลายๆ ตัว กรรมในที่นี้ ก็เลยจะเรียนถามอาจารย์ว่า จะมีอะไรได้ไหมว่า เราทำไปแล้ว บางคนบอกว่าแก้กรรมได้ แต่ในความรู้สึก คิดว่าแก้ไม่ได้ แต่ถ้าสมมติทำไปแล้วจะมีวิธีการใดว่า อยากจะให้สัตว์เหล่านั้นได้มีโอกาสอโหสิกรรม เพราะว่านี่คือปัญหาที่มาถามท่านอาจารย์ ก็คือปัญหาของสามี สมัยเด็กๆ เขาไปเอาไม้ไปกระทุ้งค้างคาวตายไปประมาณ ๓๐ - ๔๐ ตัว แล้วปัจจุบันนี้เจ็บหน้าอก ก็เจ็บตลอดเลย หนูก็บอกเขาว่า สงสัยไปทำกรรมสัตว์ ที่ไปกระทุ้งค้างคาวนี้ ไปหาหมอ หมอตรวจก็ไม่ทราบว่าโรคที่เกิดขึ้นคือโรคอะไร วันนี้อาจารย์มา ก็เลยอยากจะถาม กรรมที่เขาทำส่งผลในปัจจุบัน ใช่หรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ กรรมเป็นสภาพที่ปกปิด ขณะที่กำลังทำกรรมนั้น ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า กรรมนั้นจะให้ผลเมื่อไร ในลักษณะใด แล้วเวลาที่ผลของกรรมเกิด อย่างเวลาที่เจ็บหน้าอก ก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่า เป็นผลของกรรมนี้ หรือกรรมโน้น หรือกรรมไหน แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบโดยตลอด ไม่ว่าเป็นใครทั้งนั้น ทรงทราบถึงอดีตชาติด้วย ปัจจุบันชาติด้วย และกรรมที่ให้ผลสามารถที่จะให้ผลในชาตินี้ก็ได้ หรือในชาติหน้าก็ได้ หรือในชาติต่อๆ ไปก็ได้ เพราะเมื่อกรรมได้กระทำแล้ว เหตุมีแล้ว ก็สะสมเป็นปัจจัย เป็นกรรมปัจจัยสืบต่อจากจิตในขณะที่ได้กระทำกรรม เมื่อถึงกาลที่สมควรที่จะให้ผลของกรรมที่เราเรียกว่าวิบากจิตเกิดขึ้น จิตที่เป็นผลของกรรมก็เกิด เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสบ้างทางกาย

    เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผลที่ทำให้เกิดความทุกข์กาย ขณะนั้นก็ต้องเป็นผลของอกุศลกรรมแน่นอน แต่บอกไม่ได้ว่าเป็นผลของกรรมไหน

    ผู้ฟัง ทำไปแล้ว ทีนี้ตัวเองรู้ว่าตัวเองทำไป การกระทำทราบว่าตัวเองทำไปจะด้วยเจตนาหรือไม่เจตนา ซึ่งขณะนั้นอาจจะคิดว่าเพื่อความสนุกสนาน หรือว่าพอไปเห็นค้างคาวแล้วฆ่ามันตาย แล้วก็ คือช่วงนั้นอาจจะไม่ได้มีการศึกษาเรื่องการฆ่าชีวิตสัตว์โดยที่ไม่ได้เจตนากับการเจตนา กรรมแตกต่างกัน ใช่ไหมคะ

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นเรื่องที่ว่าแล้วแต่ขณะนั้นเจตนามีกำลังหรือไม่มีกำลัง ประกอบด้วยกิเลสที่มีกำลังหรือไม่มีกำลัง ก็เป็นเรื่องของเจตนา และเป็นเรื่องของกรรมนั้น แล้วเวลาที่กรรมให้ผล เหลือเชื่อ คือไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ในรูปแบบไหน

    ผู้ฟัง ขอบคุณคะ

    ผู้ฟัง อย่างกรณีแบบนี้ เป็นไปได้ใช่ไหมครับ สมมติว่าเกิดกรณีที่เขาคิดไปเอง ว่าเป็นกรรมที่เขาทำจากการทุบค้างคาว ในทางพุทธศาสนามีโอกาสที่เราจะผ่อนหนักให้เป็นเบา คือ มีโอกาส คิดว่าแบบเจ้ากรรมนายเวร หรือว่าจะเป็นบุคคลที่เราเคยล่วงเกินไป เรามีโอกาสที่จะขออโหสิ แม้ว่าโดยการที่จะทำสังฆทาน อุทิศให้กับเขาไป หรือว่าประกอบกุศลกรรมอย่างอื่น อันนี้มีโอกาสที่จะผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ไหม

    ท่านอาจารย์ คุณนิรันดร์เคยฆ่าอะไรบ้างหรือเปล่าคะ

    ผู้ฟัง ก็คงจะเคยมีบ้าง

    ท่านอาจารย์ ลองยกตัวอย่างสิคะ ฆ่ายุง ฆ่ามด ใช่ไหมคะ เคยไหมคะ แล้วตอนนี้ ยุง มดไปเกิดที่ไหนรู้ไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ แล้วจะไปอุทิศส่วนกุศลให้อย่างไร เขาก็ไม่รู้

    ผู้ฟัง แต่ว่าระลึกถึงด้วยจิตเราระลึกถึงว่า สมมติว่าถ้าเป็นสิ่งที่เราเคยล่วงเกินด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมก็แล้วแต่

    ท่านอาจารย์ แต่เขาอยู่ไหน ที่เขาจะมายกโทษ

    ผู้ฟัง ไม่ทราบเลยใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ นี่ก็กำลังจะให้เขายกโทษไม่ใช่หรือคะ ก็เขาไม่รู้แล้วเขาจะยกโทษให้อย่างไร

    ผู้ฟัง กรณีแบบว่า สมมติ มันเป็นกรรมที่ต้องมาให้ผล มาติดตาม

    ท่านอาจารย์ ขอโทษกรรมไม่ได้ค่ะ ทำไปแล้วอย่างไรกรรมก็ต้องให้ผล ขอโทษกรรมไม่ได้

    ผู้ฟัง ขอโทษกรรมไม่ได้ แต่หมายถึงว่า คือว่าเขาจุติจิตดับไป ปฏิสนธิจิต

    ท่านอาจารย์ จุติจิตของยุงดับ ไปเกิดเป็นมนุษย์

    ผู้ฟัง เกิดเป็นมนุษย์ ใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ แล้วเขาจะรู้หรือคะ ว่าคุณนิรันดร์ฆ่าเขา

    ผู้ฟัง ช่วงหนึ่งจากสิ้นอายุมนุษย์ไป จะไปเกิดใหม่ เป็นภพอื่น

    ท่านอาจารย์ แล้วเขาจะรู้หรือคะว่า คุณนิรันดร์ฆ่าเขา คุณนิรันดร์ก็ตายไปแล้ว เป็นใครอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เราต้องเอาความจริง จะใช้ความคิดของเรา แล้วก็ไม่สมบูรณ์ด้วยเหตุผลไม่ได้ กรรมได้แก่เจตนา ความจงใจ ความตั้งใจ ส่วนใหญ่เราจะไม่ทราบว่า เจตนาเจตสิกเกิดกับจิตทุกประเภท ไม่เว้นเลย แต่เราจะรู้ลักษณะของเจตนาเมื่อเป็นความจงใจที่จะทำกุศล หรือว่าความจงใจที่จะทำอกุศล เพราะฉะนั้น เราสามารถจะรู้ได้เพียงแค่กุศลเจตนา และอกุศลเจตนา ส่วนเจตนาที่เกิดกับวิบากจิต กิริยาจิต ไม่มีทางจะรู้ได้เลย

    เพราะฉะนั้น ส่วนใหญ่ที่เราพูดเรื่องกรรม เราจะมุ่งหมายถึงความจงใจ ความตั้งใจที่กระทำกุศล หรือความจงใจ ตั้งใจที่จะทำอกุศล ความจงใจ ตั้งใจเกิดกับจิต แล้วจิตก็ดับ เพราะฉะนั้น จิต และเจตสิกเกิดแล้วก็ดับอย่างเร็วมาก ผ่านไปนานมาก แต่กรรมที่ได้กระทำแล้ว เป็นกรรมปัจจัย มีผลที่จะเกิดขึ้น เพราะปัจจัยตัวเหตุยังไม่หมด ถ้าไม่ใช่เป็นพระอรหันต์จะดับปัจจัยพวกนี้ไม่ได้เลย นอกจากจุติจิตของพระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่มีการเกิด ปัจจัยทั้งหลายที่สะสมมาก็หมดไม่สามารถที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดได้ แต่สำหรับผู้ที่ยังต้องเกิด ยังมีกรรมเป็นกรรมปัจจัยที่จะให้ผล แม้ว่าจิตเกิดแล้วดับ แต่สะสมทุกอย่างทั้งกรรมดีกรรมชั่ว สะสมสืบต่อ เมื่อถึงพร้อมด้วยกาลหรือปัจจัยที่จะให้กรรมชนิดใดให้ผล กรรมชนิดนั้นก็ให้ผล คือ ให้ผลเจ็บหน้าอก หรือจะให้ผลอะไรก็ตาม แต่ถ้าเราเคยชาตินี้ฆ่าค้างคาว แต่ชาติก่อนเคยฆ่าไก่ อาจจะไม่ถึง ๓๐ ตัว ก็ได้ ใช่ไหมคะ ที่เจ็บหน้าอกตรงนี้เป็นผลของกรรม ของการฆ่าไก่ หรือ ผลของการฆ่าค้างคาว ก็ไม่สามารถจะรู้ได้ เพราะว่า กรรมเป็นสภาพที่ปกปิด ในขณะที่ทำไม่รู้ว่าจะให้ผลเมื่อไร เวลาผลของกรรมเกิดก็ไม่รู้ว่ามาจากกรรมไหน เพราะทุกคนมีกรรมนับไม่ถ้วนเลย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีกรรมในอดีตที่ทำให้ทรงประชวร ไม่พ้นกรรม เมื่อถึงกาลที่กรรมนั้น นานแสนนานที่ทรงแสดงอดีตกรรมของพระองค์ นานมากก็ยังสามารถที่จะให้ผลในชาตินี้ได้ แต่พระองค์ทรงทราบว่าเป็นผลของกรรมอะไร แต่เราไม่สามารถที่จะรู้ได้

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีคนมาบอกเรา ทำอย่างนี้เป็นผลของกรรมนั้นๆ เราจะเชื่อไหม ต้องเป็นผู้ตรงต่อธรรม จะเชื่อไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่เชื่อ เพราะไม่สามารถจะพิสูจน์ได้

    ท่านอาจารย์ ใช่ เพราะฉะนั้น เราจะรู้ได้เลย คำนั้นไม่สมควรเชื่อ ไม่มีเหตุพอที่เขาสามารถจะบอกได้ว่า ผลนี้เกิดจากกรรมอะไร ต้องเป็นคนที่หนักแน่นในเหตุผล

    ผู้ฟัง มีคนที่เขาไปล่วงเกินในอดีตชาติมาราวีอย่างนี้ครับ เพราะฉะนั้นให้อุทิศให้ต่างๆ หรือว่าอุทิศส่วนกุศลให้ ถามว่าทำแล้วผ่อนคลายได้ เกิดขึ้นเป็นเรื่องแปลก อันนี้เกิดขึ้น เรียนถามว่า จริงๆ เราไม่ทราบว่าเป็นอกุศลกรรมของภพปัจจุบันหรืออดีตชาติไหนเราไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ เมื่อกี้นี้เราสวดมนต์ไหว้พระมีเรื่อง เรามีกรรมเป็นของของตนด้วย ใช่หรือเปล่าคะ มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นทายาท แล้วก็หมายความว่าอย่างไรคะ พวกนี้หายไปไหนหมด มีกรรมเป็นของของตน หายไปแล้ว มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์หายไปแล้ว มีกรรมเป็นทายาทหายไปแล้ว ไม่ตรงกับที่เราได้ยินได้ฟัง

    ผู้ฟัง เรารับผล ผมทราบว่าเรารับผล แต่จะผ่อนหนักเป็นเบา

    ท่านอาจารย์ ทายาทก็คือผู้รับผล รับผลของกรรมของเรา กรรมของคนอื่นจะมาให้ผลกับเราไม่ได้ ของใครก็ของคนนั้น ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่ทายาทกันสิคะ

    ผู้ฟัง กรณีที่อย่างพระเจ้าพิมพิสารที่อุทิศส่วนกุศลให้กับเปรต ที่เป็นพระญาติที่เคยมา

    ท่านอาจารย์ ญาติ อาจจะไม่ได้เป็นเจ้ากรรมนายเวร กรรมได้แก่เจตนาซึ่งเกิดกับจิต ชี้ชัดลงไปเลย ไม่ใช่บุคคลอื่น ต้องเป็นเจตนาที่เกิดกับจิตที่กระทำกรรม

    เพราะฉะนั้น เมื่อกรรมนั้นถึงกาลพร้อมด้วยปัจจัยที่จะทำให้ผลเกิดขึ้น เช่น ในขณะนี้ เห็น เป็นผลของกรรม เราไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นผลของกรรมอะไร ชาติไหน แต่ให้รู้ว่า เกิด ขณะแรกของจิตในภพนี้ชาตินี้เป็นผลของกรรม ทำให้แต่ละคนต่างกันตามกรรมที่ได้กระทำ

    เพราะฉะนั้น ปฏิสนธิจิตเกิด แม้ว่าจะเป็นผลของกุศลกรรม แต่ก็หลากหลาย เพราะว่ากรรมนั้นก็ทำให้เกิดรูปซึ่งเป็นผลของกรรม แต่ไม่ใช่วิบาก หลากหลายไปอีก ก็ให้ทราบว่ากรรมนั่นแหละเป็นเหตุ เราจะไปอุทิศส่วนกุศลให้กรรมนั้นก็ไม่ได้ เพราะว่าเป็นกรรมที่เราได้กระทำเอง ทำแล้วก็ดับไปแล้วด้วย


    หมายเลข 9512
    20 ส.ค. 2567