อภิชฌา โทมนัส หรือว่าความรัก ความชัง
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๗๒
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ครับ อภิชฌา โทมนัส หรือว่าความรัก ความชัง จะมีความหมายอย่างนี้หรือเปล่าครับ หมายความว่า ขณะที่สภาพธรรมใดสภาพธรรมหนึ่งปรากฏกับสติ แล้วเราไม่ติดข้องในสภาพธรรมนั้นลักษณะนั้นๆ แล้วก็ไม่มีความไม่พอใจกับสภาพธรรมที่ปรากฏ หรือว่าอีกประการหนึ่ง ความรักความชังที่มีกับสิ่งที่เป็นตัวตน อย่างเช่นบุคคลหนึ่งบุคคลใด หรือว่าไม่พอใจสิ่งที่เป็นตัวตน บุคคลหนึ่งบุคคลใด เป็นเพราะ ๒ อย่างนี้หรือเปล่าครับ ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ อภิชฌาก็คือโลภะ โทมนัสก็คือโทสะ เพราะฉะนั้น ขณะใดที่ไม่มีโลภะ โทสะ ขณะนั้นก็เป็นกุศล แต่ว่ากุศลก็มีหลายระดับขั้น ถ้าพูดถึงเรื่องหนทางที่จะอบรมเจริญปัญญา ที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม เพื่อที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ต้องเป็นหนทางที่ละเอียด ไม่ใช่เพียงขั้นทาน หรือขั้นศีล หรือขั้นความสงบของจิต เพราะว่าสิ่งเหล่านี้มีก่อนการตรัสรู้ แต่ว่าเมื่อมีหนทางนั้น เนื่องจากหนทางนี้เป็นหนทางที่ละเอียดลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่เห็นความลึกซึ้งของมรรคก็จะทำให้เข้าใจผิด ประพฤติปฏิบัติผิด เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่สำหรับการอบรมเจริญปัญญา ที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ต้องมีความรู้ขั้นต้น ซึ่งเป็นสัจจญาณ กิจจญาณ และกตญาณ
ขณะนี้ที่เรากำลังนั่งฟัง เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ แต่ผู้ที่ตรัสรู้ได้ทรงแสดงไว้ก็คือ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ต้องเกิดขึ้นจึงปรากฏ การฟังธรรม ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ไตร่ตรอง เป็นลำดับขั้น ถ้าเราจะข้ามไปถึง ปฏิจจสมุปปาท อายตนะ ขันธ์ ธาตุ อริยสัจจะ เราจะไม่มีพื้นฐานที่มั่นคง
เพราะฉะนั้น พื้นฐานที่มั่นคงในขณะนี้ ก็คือว่า มีสภาพธรรมแน่นอนที่กำลังปรากฏ เพราะเราทราบแล้วว่าทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม แต่ธรรมก็หลากหลายมากมาย เราก็คงจะต้องพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก เหมือนอย่างข้อความในพระไตรปิฎก ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน เมื่อไรก็เป็นเรื่องของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะทางที่จะรู้อารมณ์ ใครคิดว่า มีทางอื่นนอกจากนี้ไหมคะ ต้องช่วยกันตอบด้วย จะได้ทราบแน่นอน มีความมั่นคงจริงๆ อันนี้สำคัญมาก เพราะว่าเป็นสัจจญาณ สัจจะ ญาณ ญาณที่รู้ความจริงว่า อริยสัจจะจริงๆ ก็คือ ในขณะนี้เอง ไม่ต้องไปหาที่อื่นเลย ถ้ามีผู้ที่อบรมเจริญปัญญามาแล้ว สามารถที่จะรู้แจ้งทุกขลักษณะ ซึ่งเป็นทุกขอริยสัจจะ แต่ว่าถ้ายังไม่มีการอบรมพอ เราก็ต้องฟังเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริง ไม่ให้คลาดเคลื่อนว่า ปัญญาที่จะอบรมเจริญจนกระทั่งรู้แจ้งสภาพธรรม ก็คือในขณะนี้เอง ไม่ใช่ในหนังสือ ในหนังสือไม่มีตัวเห็น ได้ยินเลย คิดนึกก็ไม่ได้อยู่ในหนังสือ แต่ว่าในหนังสือกล่าวถึงธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ซึ่งทุกคนต้องฟังแล้วฟังอีก ฟังแล้วฟังอีก ไม่ให้คลาดเคลื่อนไป จากการที่จะค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ว่า ไม่ใช่เรา ซึ่งก่อนฟัง อย่างไรๆ ก็ต้องเป็นเรา เห็นทีไร ก็เป็นเราเห็น คิดก็เป็นเรา ได้ยิน แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้วเป็นธรรม ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับ แค่นี้ต้องไตร่ตรองอีกนานไหมคะ ได้ฟังอีก ก็คิดอีก พิจารณาอีก พอห่างเหินไปไม่ฟัง ก็เป็นเรื่องอื่น แต่ถ้าฟังบ่อยๆ จะเกิดความรู้ที่มั่นคงว่า เราไม่เคยขาดธรรมเลย แล้วทุกอย่างเป็นธรรม แล้วธรรมก็เป็นสัจจธรรม เป็นความจริงที่ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้
เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะพูดเรื่องอื่นที่ไกลตัว แล้วก็คิดว่าเรามีความรู้มาก แต่ว่าไม่รู้สภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ก็ไม่ใช่สัจจธรรม เพราะเหตุว่าความจริง ขณะนี้ อะไรจริง จริงที่สุด จริงที่สุดในขณะนี้ เห็น ได้ยิน คิดนึกด้วย เราฟังกันอีก ต่อไปเราก็คงจะไปฟังที่แซนฟรานซิสโก ที่เบย์เอเรีย ก็เรื่องเห็น ได้ยินนี้แหละ ต้องมีพื้นฐานที่มั่นคงว่า ไม่ใช่เรา เมื่อไม่ใช่เราก็คือเป็นธรรม เป็นธรรม ๒ อย่าง คือ รูปธรรม ไม่รู้อะไรเลย ขณะนี้ก็มี นามธรรมก็เป็นสภาพรู้ที่กำลังปรากฏ เท่านี้ค่ะ กี่วัน กี่เดือน กี่ปี ก็คือให้มีความมั่นคงที่จะรู้ว่ามีสภาพธรรมที่ไม่ใช่เรา ปรากฏให้รู้ได้ทางตาก็อย่างหนึ่ง ทางหูก็อีกอย่างหนึ่ง ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ วนเวียนไป นี่คือสังสาระ