สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๗๓


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๗๓


    บางที่เวลาที่เราคิดถึงสังสารวัฏฏ์ เราคิดยาวมากเป็นชาติ ย้อนถอยไปแสนโกฏิกัปป์ข้างหน้าที่จะมาถึง แล้วขณะนี้อีก แต่ความจริงก็คือว่า มีจิตเกิดขึ้น แล้วก็วนเวียนอยู่ทางตาเห็น ทางหูได้ยิน ทางจมูกได้กลิ่น ทางลิ้นลิ้มรส ทางกายรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ทางใจคิดนึก ทำไมต้องรู้อย่างนี้ด้วย ไม่รู้เสียไม่ดีกว่าหรือ ก็เป็นเราต่อไป สนุกสนานรื่นเริง แต่ว่าอย่างไรๆ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่เที่ยง แม้แต่ความสุข ความสนุก ความพอใจแต่ละครั้ง ไม่ยั่งยืนเลย เกิดขึ้นแล้วก็หมดไป

    เพราะฉะนั้น สภาพธรรมทุกอย่าง ถ้าเราพิจารณาละเอียด ละเอียดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ก็รู้ว่าไม่มีอะไรที่ยั่งยืน แต่ว่าการคิดของเราไม่ใช่การประจักษ์แจ้งการเกิดขึ้น และดับไป แต่ผู้ที่จะเป็นพระอริยบุคคล ท่านต้องรู้จริงในลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งการเกิดขึ้น และดับไป ชาตินี้ดีไหมคะ ความรู้จะต้องค่อยๆ เพิ่มขึ้น ตามลำดับขั้นจากขั้นฟัง ซึ่งเป็นปริยัติ แล้วถึงขั้นปฏิปัตติ แล้วก็ถึงขั้นปฏิเวธ

    ปฏิปัตติ การปฏิบัติ คือ การอบรมเจริญปัญญา เดี๋ยวนี้เองเป็นการอบรมเจริญปัญญา เพราะถ้าไม่มีการฟัง ปัญญาจะมาจากไหน แล้วฟังอะไร ก็ฟังธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง หลังจากที่ตรัสรู้แล้ว ๔๕ พรรษา แล้วในกาลครั้งนั้นก็มีผู้ที่สะสมบุญมาแล้วมากพร้อมที่จะได้เป็นพระอริยบุคคล แต่คนยุคนี้ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรง รู้หรือไม่รู้ ถ้าไม่รู้ก็ฟังอีก ฟังอีก ฟังบ่อยๆ จนกระทั่งเป็นความเข้าใจของเราทีละเล็กทีละน้อย ความเข้าใจขั้นฟังจะประจักษ์การเกิดดับไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ชาตินี้เราจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมดีไหมคะ จะหลงทาง หรือว่าจะตรงทาง ถ้าดีแล้ว มีคนที่บอกว่า ให้ทำอย่างนี้ ให้ทำอย่างนี้ แล้วก็จะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่การทำ ไม่ใช่การอบรมเจริญปัญญาของเราเอง ถ้าเป็นปัญญาของเราเอง ฟังแล้วคิด ไตร่ตรองพิจารณาเป็นความเข้าใจ แม้ว่าทีละเล็กทีละน้อยก็เป็นความเข้าใจของเรา ไม่ใช่ความเข้าใจของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา หรือไม่ใช่ความเข้าใจของพระอรหันต์ทั้งหลายที่ท่านทำสังคายนา หรือไม่ใช่ความเข้าใจของบุคคลอื่น พระอนาคามี พระสกทาคามี พระโสดาบัน แต่ต้องเป็นการเข้าใจของเรา อบรมจนกว่าจะถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเมื่อไร เมื่อนั้นถึง แต่ไม่ใช่วันนี้ ชาตินี้ จะว่าดีเริ่มที่จะอยากหรือต้องการ แต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือว่า ดีสำหรับผู้ที่รู้ตัวว่า อบรมเจริญปัญญามา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าชาตินี้หรือเปล่า เพราะว่าทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น เรารู้ล่วงหน้าไม่ได้เลยสักขณะจิตเดียว ใครสามารถรู้ได้

    ถ้าหมอดูทายว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จะถูกสลากกินแบ่ง หรือรางวัล หรือไปเล่นพนันของที่นี่มาจะได้เท่านั้นเท่านี้ ก็ตามแต่ เขาไม่ได้รู้สภาพธรรมที่เกิดต่อจากขณะนี้ เขาเพียงแต่ใช้หลักเกณฑ์ที่จะพยากรณ์หรือบอกส่วนหยาบ แต่ส่วนละเอียดจริงๆ คือแต่ละขณะที่ผ่านไป ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ข้างหน้า คือ ๑ ขณะจิตที่จะเกิดต่อจากขณะนี้ว่า จะเป็นจิตเห็น หรือจะเป็นจิตได้ยิน หรือจะเป็นจิตได้กลิ่น จะเป็นจิตลิ้มรส จะเป็นจิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย จะเป็นจิตคิดนึก หรือจะเป็นจุติจิต คือจิตขณะสุดท้ายที่ทำให้เคลื่อนพ้นความเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ จะกลับมาเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้เลย

    นี่คือความเข้าใจธรรมว่า ธรรมเป็นธรรม เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยสักคนเดียว ทุกอย่างที่จะเกิด เกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยมี่สมควรที่สิ่งนั้นจะเกิด สิ่งนั้นก็เกิดไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา ย่อลงมาเป็นแต่ละขณะจิต ก็คือมีเหตุปัจจัยพร้อมที่จะเกิดเป็นอย่างนั้น ก็เป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ พรุ่งนี้อาจจะเจ็บไข้ได้ป่วย หรือว่าเมื่อกี้ไม่รู้ว่าจะไอ ก็ไอ ก็ได้ ก็เป็นเรื่องที่แต่ละคนไม่สามารถจะรู้เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น ต่อเมื่อใดสภาพนั้นเกิดขึ้น จึงจะเข้าใจถึงความหมายของคำว่า “อนัตตา” เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถจะไปคิด ไปหวัง ไปทำอะไรขึ้นมาได้เลย

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม การฟังพระธรรม ต้องเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ที่จะต้องฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจจริงๆ ถึงคำแรกที่ได้ยินโดยถ่องแท้ คือ ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม เมื่อไรเป็นอย่างนี้ หมายความว่า ได้อบรมเจริญปัญญาไมใช่เพียงขั้นปริยัติ เพราะว่าพูดตามพูดได้ ทุกอย่างเป็นธรรม ใครก็พูดได้ แต่ความจริงกำลังเห็นจะเป็นธรรมได้อย่างไร ขณะที่กำลังได้ยินขณะนี้ จะเป็นธรรมได้อย่างไร ต้องมีหนทางอบรมเจริญปัญญา ซึ่งเป็นระดับขั้นที่ ๒ ซึ่งเกิดจากการฟัง มีพื้นฐานที่มั่นคงเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สัมมาสติเกิด ที่ใช้คำว่า “มีสติ” ไม่ใช่หลงลืมสติ ก็คือสัมมาสติเกิด แล้วรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ


    หมายเลข 9514
    20 ส.ค. 2567