สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๗๕
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๗๕
ผู้ฟัง ที่อาจารย์บอกว่าพิจารณาธรรม จะต้องมีการพิจารณาธรรมที่ละเอียด ละเอียดยิ่งขึ้นๆ หมายความว่า ยกตัวอย่างขณะที่ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา เราก็ทราบว่าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วก็ปรากฏทางตาเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ขณะที่เรารู้ว่ามีความละเอียดมากยิ่งขึ้น จะหมายว่าความคลายในรูปร่างสัณฐานที่มีอยู่จะค่อยๆ คลายลง
ท่านอาจารย์ คลายความไม่รู้ เพราะว่าอย่างไรๆ ขณะที่เห็น ก็จะต้องมีการคิดนึก ถึงรูปร่างสัณฐาน ไม่ใช่จะหายไปหมดทันที แต่จากการฟังสามารถที่จะเริ่มเข้าใจว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ แม้นิดเดียวก็ถูกต้อง เพราะว่าถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฏ จะไม่มีการตรึกนึกคิดถึงคน ถึงวัตถุ ถึงสิ่งต่างๆ เลย แต่ว่าเพราะเหตุว่าเราชินกับการที่จะคิดนึกติดตามมาทันที
เพราะฉะนั้น จากการฟังก็เริ่มที่จะรู้ความต่าง คือรู้ว่าถึงจะเข้าใจว่า เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นพี่น้อง เป็นญาติ เพื่อนฝูงก็ตาม แต่หลังจากเห็นแล้วก็มีความคิดนึกทรงจำใน อัตตสัญญา คือ แม้สิ่งนั้นไม่ปรากฏ เช่นในขณะที่หลับตา ขณะที่ได้ยิน ขณะที่คิดนึก สิ่งที่ปรากฏทางตาจะปรากฏพร้อมในขณะนั้นไม่ได้ ถ้าตามความเป็นจริง แต่เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเกิดดับสืบต่อเร็วมาก เพราะฉะนั้น ทุกโลกก็ปรากฏสืบต่อทันที เหมือนสิ่งที่ปรากฏทางตาเที่ยง แล้วก็มีความทรงจำว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วก็มีการได้ยิน แล้วก็มีความคิดนึกถึงความหมายด้วย
เพราะฉะนั้นทุกอย่างสืบต่อเร็วจนเหมือนกับไม่ดับเลยสักอย่างเดียว เป็นสิ่งที่เที่ยง ทรงจำไว้ แม้ไม่เห็นก็ยังจำไว้ในสิ่งที่ไม่ปรากฏ อย่างเวลานี้เห็น ทำให้คิดนึก ว่าเป็นคนเป็นวัตถุสิ่งต่างๆ แต่เวลาไม่เห็นแล้ว ไม่มีแล้ว ไม่ได้ปรากฏแล้ว ก็ยังจำไว้
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า สัญญาความจำ มีความเป็นอัตตา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากมายจนกว่าจะไถ่ถอนออกไปได้ ด้วยการค่อยๆ รู้ว่า แต่ละทางก็คือแต่ละอย่าง อย่างขณะนี้ก็คือ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา เพียงครั้งแรกที่เกิดระลึกได้ ต่อไปเราก็จะรู้ได้ว่า มีการระลึกอย่างนี้ได้อีกว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา จนกว่าจะมั่นคง สภาพธรรมจึงจะปรากฏตามความเป็นจริงได้ สภาพธรรมปรากฏตามความเป็นจริง คือ อริยสัจจะ ทุกขอริยสัจจะ แต่ก่อนนั้นก็ต้องเป็นการที่ประจักษ์แจ้งในสภาพที่เป็นธาตุหรือธรรม คือนามธรรม และรูปธรรม หรือจะใช้คำว่านามธาตุกับรูปธาตุก็ได้ เป็นวิปัสสนาญาณขั้นที่ ๑ นามรูปปริจเฉทญาณ เป็นปัญญาที่ประจักษ์ลักษณะของธาตุหรือนาม นามธรรมกับรูปธรรม ซึ่งขณะนั้นจะไม่มีตัวเรา จะไม่มีโลกอื่นปนอยู่ในขณะที่สภาพธรรมแต่ละอย่างปรากฏ เป็นความเห็นที่ถูกต้อง ขณะนั้นจะรู้รอบในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ไม่เป็นอื่น ไม่มีอย่างอื่นเลยที่จะมารวมอยู่ในสภาพธรรมแต่ละอย่าง
เพราะฉะนั้น นามรูปปริจเฉทญาณ จึงเป็น ญาตปริญญา เป็นความรู้ที่เห็นแจ้งตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้น และเมื่อวิปัสสนาญาณดับ สติปัฏฐานของผู้ที่ได้ประจักษ์ลักษณะของนามรูปปริจเฉทญาณแล้ว เวลาที่สติปัฏฐานของบุคคลนั้นระลึกลักษณะของสภาพธรรม เป็นญาตปริญญาต่อไปอีกจนกว่าจะถึงตีรณปริญญา เพราะเหตุว่าบุคคลที่ได้รู้แจ้งสภาพธรรมแล้ว จะให้สติปัฏฐานที่เกิดกับเขาไปเหมือนกับตอนที่ไม่ได้ประจักษ์ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมไม่ได้
เพราะฉะนั้น ญาตปริญญาต้องเป็นในขณะที่เป็นนามรูปปริจเฉทญาณ แล้วเวลาที่สติปัฏฐานระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ จะเห็นการเกิดขึ้นของสภาพธรรม ขณะนั้นก็รู้ว่าเป็นไปตามปัจจัย ไม่ใช่มีคนหนึ่งคนใดไปสร้างสภาพธรรมนั้นเลย แต่ว่าการที่จะรู้ปัจจัยของแต่ละบุคคล มากน้อยตามการสะสม เพราะว่าขณะที่ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมไม่มีชื่อ ไม่มีคำ การตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ไปนึกเป็นเรื่องราวสำหรับที่จะมาบอกเรา แต่ขณะที่เป็นญาณ เป็นความเห็น ที่ตรงถูกต้อง ไม่มีอะไรปิดกั้นเลย เป็นการประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ แต่ด้วยพระปัญญาที่ได้อบรมมาเหนือบุคคลอื่นใด ขณะที่อรหัตตมรรคญาณเกิด ดับกิเลสพร้อมด้วยปัญญาที่ได้สะสมมาทั้งหมด
เพราะฉะนั้น หลังจากนั้นแล้วก็ได้ทรงแสดงเรื่องสภาพธรรมแม้อย่างเดียว โดยประการต่างๆ แสดงโดยธาตุ แสดงโดยขันธ์ แสดงโดยอายตนะ แสดงโดยสังโยชน์ หรืออะไร อะไรก็แล้วแต่ที่มีปรากฏในพระไตรปิฎก ๔๕ พรรษา มาจากลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ เอง บางคนก็อาจจะคิดว่าเป็นเพียงคำ แต่ไม่ใช่ เนื่องจากลักษณะของธรรมนั้นๆ เป็นอย่างนั้น ผู้ที่สามารถที่จะเห็นลึกซึ้งถ่องแท้ยิ่งกว่าบุคคลอื่น ก็มีคำที่จะใช้สำหรับอนุเคราะห์สัตว์โลกให้ได้ฟัง ได้เข้าใจ ได้พิจารณาแล้วพิจารณาอีก โดยนัยต่างๆ เพื่อที่จะให้เห็นความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมในขณะนั้น เพื่อที่จะได้รู้แจ้งในอริยสัจจธรรมได้