สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๗๖
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๗๖
อ.อรรณพ กราบเรียนถามท่านอาจารย์ต่อเกี่ยวกับปัญญาที่เป็นขั้นญาตปริญญา ท่านอาจารย์ครับ ถ้าเป็นการรู้ความเกิดขึ้นของธรรม ในขณะนั้นก็รู้ความเป็นปัจจัยตามสมควรแก่ปัญญาของแต่ละบุคคล แต่ทำไมพอเริ่มค่อยๆ รู้ความเกิดดับ แม้ว่าจะอย่างหยาบๆ หรืออย่างรวดเร็ว จึงเป็นตีรณปริญญา
ท่านอาจารย์ เวลาที่วิปัสสนาญาณเกิด บุคคลนั้นจะประจักษ์ความเป็นอนัตตาไหมคะ หรือว่าไปคอย จวนจะถึงแล้ว จวนจะดีแล้ว ซึ่งบางคนบอกว่า เกือบๆ แล้ว ก็เป็นสิ่งที่เป็นตัวตนที่หวัง ไม่ใช่เป็นปัญญาที่ละ
เพราะฉะนั้น เป็นความที่ต่างกันมาก ความเป็นตัวตนที่หวัง กับการเป็นปัญญาที่ละ เพราะฉะนั้น ผู้ที่วิปัสสนาญาณเกิด โดยความเป็นอนัตตา ขณะนี้ได้ไหม แสดงว่าเป็นอนัตตาแล้วใช่ไหม ขณะไหนก็ได้ แต่ไม่ใช่หมายความว่า เราจะไปรอคอย แล้วคิดว่าปัญญาถึงระดับขั้นที่จะเป็นวิปัสสนาญาณนั้นๆ แล้ว ใช่ไหมคะ แล้วสำหรับนามรูปปริจเฉทญาณเป็นปัญญาที่ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่เคยปรากฏ เพราะเหตุว่าลักษณะของธาตุซึ่งไม่มีอะไรเจือปนแต่ละธาตุ เช่น นามธาตุ มนินทรีย์ จะรู้เลยว่า ความเป็นใหญ่ แม้ไม่มีอะไรเลย ทั้งหมดโลกนี้ไม่มีเลย
เพราะเหตุว่าถ้ายังมี ก็ไม่ใช่วิปัสสนาญาณ เพราะว่ายังรวมกัน ติดกันแน่น แต่เวลาที่เป็นวิปัสสนาญาณ มืด แต่มีสภาพธรรมปรากฏ เช่น นามธรรม มืดหรือสว่าง ไม่มีแสงสว่างใดๆ ถ้ารู้ลักษณะของนามธรรม แม้ไม่มีอะไรเลย มนินทรีย์ ธาตุรู้มี ไม่มีอะไรปิดกั้นเลยทั้งสิ้นในขณะนั้นว่า เขาสามารถที่จะเป็นธาตุรู้อย่างเดียว ไม่มีอะไรในโลก แต่ธาตุรู้มี
เพราะฉะนั้น เวลาที่เป็นนามรูปปริจเฉทญาณ สภาพธรรมเกิดจริง ปรากฏจริง แต่ปัญญาที่เพิ่งเริ่มประจักษ์ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมครั้งแรก ถ้าคนนั้นมีปัญญาที่สะสมมาแล้ว วิปัสสนาญาณทั้งหมดสามารถที่จะเกิดสืบต่อกันได้เลย แต่ถ้าบุคคลนั้นเป็นผู้ที่ไม่สามารถที่จะมีวิปัสสนาญาณขั้นอื่นสืบต่อมาก ก็อาจจะเป็นนามรูปปริจเฉทญาณ ปัจจัยปริคคหญาณ หรือถึงสัมมสนญาณ พร้อมกันได้ เพราะเหตุว่าทั้ง ๓ นี้เป็นตรุณวิปัสสนา
เพราะฉะนั้น ผู้นั้นก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า ถึงอย่างนั้นก็ตามไม่ได้ดับกิเลส หลังจากที่วิปัสสนาญาณดับไปแล้ว ก็จะต้องมีการระลึกลักษณะของสภาพธรรมเพื่อคลายความเป็นเราจากสภาพธรรมที่ปรากฏ แม้ว่าจะมีการประจักษ์ในธรรมที่ปรากฏแล้วก็ตามแต่ แต่ความเป็นเรายังอยู่อีกในสภาพธรรมทั้งหลาย เพราะเหตุว่าวิปัสสนาญาณปรากฏเท่าไร ความรู้ของบุคคลนั้นไม่มีความสงสัยในลักษณะของสภาพธรรมนั้น ไม่มีความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมนั้น แต่ลักษณะอื่น สติปัฏฐานจะต้องค่อยๆ พิจารณา น้อมความรู้จากนามรูปปริจเฉทญาณ ซึ่งเป็นญาตปริญญา พิจารณาลักษณะของสภาพธรรมเพื่อวิปัสสนาญาณขั้นอื่นๆ จะเกิดต่อไป
สำหรับปัจจัยปริคคหญาณ คือผู้นั้นสามารถที่จะประจักษ์การเกิดขึ้นของสภาพธรรมนั้น ไม่ใช่เพียงแต่ลักษณะที่ปรากฏ แต่ยังรู้ถึงว่า ลักษณะนั้นปรากฏโดยไม่มีการที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดจะสร้างหรือจะทำ หรือจะเลิกได้เลย ว่าแต่ละคนจะประจักษ์ลักษณะของนามธรรมใด และรูปธรรมใด เกินวิสัยที่ใครจะไปจัดการอะไรทั้งหมด เพราะขณะนั้นไม่มีเรา เป็นแต่เพียงธาตุรู้ซึ่งรู้ รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ และถ้าเป็นสัมสนญาณ ก็คือว่าสามารถที่จะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมที่ปรากฏนั้น ที่กำลังเกิดดับติดต่อกันอย่างรวดเร็ว นี่ก็เป็นตรุณวิปัสสนา ซึ่งผู้นั้นก็รู้ว่า ก็ยังไม่พอ
เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อสภาพธรรม และปัญญาแต่ละขั้นก็คือว่า เลือกไม่ได้ ถึงเวลานั้นจริงๆ ก็รู้ว่า เลือกไม่ได้