สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๗๘
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๗๘
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ครับ ปัญญาที่ท่านอาจารย์บอกว่า คมกล้าขึ้นถึงมีความไวถึงขนาดที่จะรู้ว่า ขณะที่คิดนึกว่าเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นปัญญาขั้นนี้เป็นปัญญาขั้นที่ประจักษ์แจ้ง ถ้าผู้ที่ยังไม่ประจักษ์แจ้ง หมายความว่า สภาพธรรมยัง ปะปนกันอยู่
ท่านอาจารย์ แน่นอน ขณะที่สติปัฏฐานระลึก จะเป็นวิปัสสนาญาณไม่ได้ เพราะฉะนั้น ผู้นั้นก็ยังสงสัยในลักษณะของวิปัสสนาญาณ ทั้งๆ ที่ดูเหมือนความเข้าใจของเขาก็เพิ่มขึ้น แต่ขณะนั้นก็ยังเป็นตัวตนที่รอหรือเปล่า ที่หวังหรือเปล่า ที่สงสัยหรือเปล่า ต่อเมื่อไรวิปัสสนาญาณเกิด เมื่อนั้นจึงจะไม่สงสัยในลักษณะของวิปัสสนาญาณ เพราะฉะนั้น จะไม่มีความต่างของสติปัฏฐานกับวิปัสสนาญาณ
อ.อรรณพ อาจารย์ครับ ในขั้นสติปัฏฐาน ที่มีความคิดนึกแทรกมากมาย กับในขั้น ตรุณวิปัสสนา ซึ่งเป็นจินตาญาณ ซึ่งมีความคิดนึกแทรกเหมือนกัน ต่างกันอย่างไรครับ
ท่านอาจารย์ ต่างกันที่ได้ประจักษ์ลักษณะของนามธรรมหรือยัง
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์เคยพูดว่า ย่อเรื่องราวที่ใหญ่ๆ มาเป็นชั่วขณะจิต อย่างนี้น่าเป็นคนที่ต้องประจักษ์แล้ว
ท่านอาจารย์ ขั้นฟังให้เข้าใจ แต่ขั้นปฏิบัติก็คือรู้ว่า ลักษณะของสภาพธรรมปรากฏที่ละอย่างเพื่อสติระลึก เวลาที่สติปัฏฐานระลึก จะมีการศึกษาที่ใช้คำว่า อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ในขณะนั้นเริ่มมีความเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมที่สติระลึก จนกระทั่งผู้นั้นสามารถที่จะรู้ได้ เมื่อผ่านตรุณวิปัสสนา ไม่ว่าสติปัฏฐานจะระลึกอะไรก็รู้ในลักษณะที่เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม เพราะว่าต้องอบรมต่อไปอีก ต้องระลึกต่อไปอีก แค่ ๓ ญาณ จะไปดับกิเลสอะไรได้
เพราะฉะนั้น ผู้นั้นก็รู้ว่า สติปัฏฐานเป็นหนทางเดียว ซึ่งการคลายก็ยาก และก็ละเอียดต่อไปอีกด้วย ไม่ว่าสติปัฏฐานจะเกิดหรือไม่เกิด ก็ต้องไม่มีเยื่อใยของความเป็นเราที่อยากให้เกิด หรือว่าที่เพียรให้เกิด โลภะ จะตามมาตลอด สมุทัยจะกั้นตลอด จนกว่าปัญญาสามารถที่จะอบรม และรู้ว่า ขณะนั้นเป็นเครื่องกั้น
เพราะฉะนั้น จะต้องไม่มีความหวั่นไหว และก็ต้องมีความมั่นคงว่า เมื่อสติปัฏฐานเกิดก็รู้ลักษณะของสภาพธรรม ถ้าไม่เกิดก็คือไม่เกิด เครื่องล่อ เครื่องกั้นของโลภะมีมาก เพราะว่าสามารถที่จะทำให้แต่ละบุคคลอยู่ในสังสารวัฏฏ์มาได้จนถึงขณะนี้ แสนโกฏิกัปป์ แล้วก็จะให้ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นโลภะว่า พาไปทางไหน ไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น เวลาที่สติปัฏฐานเกิด เมื่อได้ศึกษาลักษณะของสภาพของสิ่งที่สติระลึกบ่อยๆ เพราะฉะนั้น ความรู้จะค่อยๆ เพิ่ม แต่ตามขณะที่สติปัฏฐานเกิด โดยไม่หวั่นไหวด้วย เพราะว่าเป็นเรื่องละ เป็นเรื่องละอย่างะเอียด ถ้าสติปัฏฐานเกิดขณะนี้ก็คือเกิด แล้วก็รู้ ถ้าไม่เกิดก็คือไม่เกิด แต่ถ้าพยามไปให้เกิด มาแล้วค่ะ
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ครับ ตัณหาฉาบทาไว้ทำให้โลกไม่ปรากฏ แล้วก็เยื่อใยที่อยากให้สติปัฏฐานเกิดอีก เยื่อใยพอจะสังเกตได้ไหมครับอาจารย์
ท่านอาจารย์ ตัวโตๆ เลย ตอนแรก แล้วค่อยๆ เล็กขึ้น ละเอียดขึ้น
ผู้ฟัง ที่ว่าเล็กขึ้นละเอียดขึ้น เป็นเยื่อใยอย่างไรครับ
ท่านอาจารย์ สภาพธรรมขณะนี้ แข็งปรากฏหรือเปล่า หรืออาจจะเป็นธาตุไฟ ไม่มีอะไรเลย นอกจากนามธรรมที่กำลังรู้ธาตุไฟ แต่เป็นเรา นั่นเยื่อใยไหมคะ ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรเหลือเลย ไม่เหลือเลย ก็ยังเป็นเรา แค่นั้นนิดเดียว เป็นเรา ทุกอย่างที่ปรากฏ เยื่อใยก็คือยังเป็นเรา ยังไม่หมดความเป็นเรา
อ.อรรณพ เยื่อใยของความเป็นเราในขณะที่เป็นจินตาญาณ กับ ขณะที่เริ่มเป็น พลววิปัสสนา คือ อุทยัพพยญาณ เยื่อใย ลักษณะทั้ง ๒ ระดับจะต่างกันอย่างไรครับ
ท่านอาจารย์ ต้องจากหยาบไปหาละเอียดขึ้น ไม่อย่างนั้นจะดับได้อย่างไร ยังหยาบๆ อยู่เลย ยังเป็นเราเต็มที่ ทำโน้น ทำนี้ หวังโน้น หวังนี่ กับการที่แม้ว่าจะคลายแล้ว รู้ว่าถึงจะเป็นกุศลหรืออกุศล ก็คือไม่ใช่เรา สติปัฏฐานจะเกิดหรือไม่เกิด ก็แล้วแต่เหตุปัจจัย ถึงระดับนั้นแล้วก็ยังมีเยื่อใยอีก จนกว่าจะถึงภังคญาณ เป็นปหานปริญญา และวิปัสสนาญาณอื่นๆ ก่อนที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม
อ.อรรณพ อาจารย์หมายความว่า แม้ปัญญาจะสมบูรณ์พร้อมถึงขั้นรู้ในความเกิดขึ้นของสภาพธรรม คือความเป็นเหตุปัจจัยของสภาพธรรมแล้ว แต่ว่าเยื่อใยที่ละเอียดขึ้น แม้ว่าในขณะที่รู้ความเกิดดับ
ท่านอาจารย์ ยังดับไม่ได้จนกว่าจะถึงโลกุตตรมรรค