สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๗๙


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๗๙


    ผู้ฟัง อย่างที่ท่านอาจารย์แสดงว่า ปัญญาของพระผู้มีพระภาคก็เป็นปัญญาของท่าน กับปัญญาของพระอรหันตสาวกที่ทำสังคายนาก็เป็นปัญญาของท่าน ซึ่งไม่ใช่ปัญญาของเรา แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือว่า ปัญญาของเรา นี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ปัญญาของท่านก็เป็นปัญญาของท่าน เพราะเหตุว่าเราไม่ได้ศึกษาเข้าใจจริงๆ จนจรดกระดูก จนถึงขั้นรู้แจ้งประจักษ์จนเป็นปัญญาของเรา ประโยชน์ที่ได้ก็ไม่มี เวลาเราฟังสวดของพระคุณเจ้า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ อันนี้จะหมายถึงว่าเป็นปัญญาที่เกิดขึ้นกับเราหรือเปล่า พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งของเราได้ ต่อเมื่อเป็นปัญญาของเราครับ ขอให้ท่านอาจารย์ขยายเพิ่มเติมด้วยครับ

    ท่านอาจารย์ ก็อย่างที่ได้กล่าวแล้วว่า การสวดคือการประกาศสัจจธรรม ไม่ว่าเราจะสวดรัตนสูตร มงคลสูตร สติปัฏฐานสูตร หรืออะไรก็ตามแต่ คือการประกาศพระธรรมนั่นเอง เพราะฉะนั้นเวลาสวด พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ประกาศถึงความเลื่อมใสศรัทธาในพระรัตนตรัย

    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ประกาศว่า มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง ต้องเป็นบุคคลสูงสุด ไม่อย่างนั้นเราจะพึ่งได้อย่างไร ทำไมไม่พึ่งคนอื่น แต่พึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นบุคคลที่ประเสริฐสุดในพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ

    ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ เราก็ประกาศการถึงพระธรรมเป็นสรณะ พระธรรมในที่นี้ หมายความถึง ธรรมรัตนะ สูงสุดคือโลกุตตรธรรม มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ เราจะพึ่งเงินทอง พึ่งทรัพย์สมบัติ พึ่งลูกหลาน พึ่งอะไรนี่พึ่งได้ พึ่งได้เพียงชั่วระหว่างที่ยังมีชีวิต แต่หลังจากนั้นแล้วต่างคนก็ต่างไป เหมือนกับต่างคนก็ต่างมา แต่ว่าเป็นสรณะที่พึ่งจริงๆ ไม่ได้ เพราะเหตุว่าไม่สามารถจะทำให้เราพ้นทุกข์ คือ พ้นจากความตายได้ อย่างไรๆ ก็ต้องเกิดต้องตายไปทุกภพทุกชาติ เพราะฉะนั้น การพึ่งพระธรรมก็คือศึกษาพระสัทธรรม ธรรมที่ทำให้สามารถที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ถ้าประกาศอย่างนี้ ผู้ใดที่กล่าววาจาอย่างนี้ ก็ต้องเป็นผู้ที่ศึกษาพระธรรม แล้วก็พิจารณาจนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องของตนเองด้วยว่า เวลาที่ได้ยินได้ฟัง สามารถทำให้เข้าใจธรรมขึ้นหรือเปล่า ถ้าคำใดที่ได้ยินได้ฟัง ไม่ว่าใครจะเป็นคนกล่าว หรือหนังสือเล่มหนึ่งเล่มใด ซึ่งบุคคลหนึ่งบุคคลใดเขียนก็ตามก็ต้องพิจารณาว่า สามารถจะทำให้เข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้หรือเปล่า มิฉะนั้นแล้วก็ไม่มีประโยชน์เลย ไม่ว่าจะฟังหรือจะอ่านก็คือไม่ได้สาระ ไม่ได้ความเข้าใจอะไรจากสิ่งที่อ่าน หรือสิ่งที่ฟัง

    เพราะฉะนั้น ก็ต้องทราบด้วยว่าประโยชน์ของการมีพระธรรมเป็นสรณะก็คือ สิ่งนั้นต้องเป็นธรรม แล้วเวลาฟัง เวลาอ่าน เวลาคิดไตร่ตรองก็คือว่า ทำให้สามารถเข้าใจธรรมนั้นยิ่งขึ้น จึงจะเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งได้

    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ก็คือถึงบุคคลซึ่งเป็นพระอริยสงฆ์เป็นสรณะ เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่สามารถที่จะให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องจริงๆ ได้ เพราะเหตุว่าถ้าไม่ใช่เป็นพระอริยสงฆ์ การที่ปัญญายังไม่ถึงระดับนั้น ก็อาจจะทำให้คลาดเคลื่อนไปจากพระธรรมได้ นอกจากว่าผู้ฟังต้องเป็นผู้ที่ตรงจริงๆ ไม่ว่าใครจะแสดงธรรม ไม่ใช่ว่าเราต้องเชื่อ อันนั้นผู้แสดงประมาทผู้ฟังมาก แต่ผู้ฟังสามารถพิจารณาผู้แสดงได้ว่า มีปัญญา มีความเห็นถูก ทำให้ปัญญาของเราเกิดความเข้าใจในพระธรรมหรือเปล่า ถ้าบุคคลนั้นไม่ทำให้ปัญญาเกิด บุคคลนั้นก็ไม่ใช่ผู้ที่สามารถที่จะเป็นผู้ชี้ทาง หรือว่าแนะทางที่จะทำให้ปัญญาถึงความสมบูรณ์ถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้

    เพราะฉะนั้น มีพระสังฆรัตนะเป็นที่พึ่ง ก็คือพึ่งบุคคลซึ่งได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม

    ปัญหามาอีก ใครรู้ ใครไม่รู้ ไม่ต้องไปสนใจ ธรรมที่ได้ยินได้ฟัง เป็นเครื่องชี้ เป็นเครื่องบ่งว่า คำนั้นออกมาจากจิตที่ประกอบด้วยปัญญา ความเห็นที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องในสภาพธรรมที่กำลังมีจริงๆ


    หมายเลข 9520
    20 ส.ค. 2567