ที่พึ่งจริงๆ คืออะไร
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๘๐
ผู้ฟัง ผมว่าที่พึ่งจริงๆ คืออะไร ขอให้ท่านอาจารย์ช่วยอธิบาย
ท่านอาจารย์ ทุกอย่าง ต้องมีการศึกษา เพราะเหตุว่าไม่มีใครรู้ ถ้าทุกคนรู้เองก็ไม่ต้องศึกษาเลย เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเองได้ แต่ว่าเนื่องจากทุกคนรู้ว่าไม่มีใครจะมีปัญญาเท่าเทียมกับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเทพ เป็นพรหมก็ตามแต่ ก็ยังต้องมาฟังธรรม
เพราะฉะนั้น เมื่อรู้อย่างนี้จึงศึกษา อันนี้สำคัญที่สุด ถ้าพุทธบริษัทไม่ศึกษาก็ไม่มีอะไรเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งเลย
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะแล้วผู้คนส่วนใหญ่ พูดถึงเราก็ให้ทานเป็นประจำ อย่างทำอาหาารถวายพระ ถวายเณร หรือว่าบริจาคสิ่งของต่างๆ กราบไหว้พระ ไม่ได้ทำความชั่วอะไรมากมาย เท่านี้ยังไม่พอหรือคะ ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ เป็นพุทธศาสนิกชนหรือไม่ใช่
ผู้ฟัง เป็นพุทธค่ะ
ท่านอาจารย์ พุทธศาสนิกชนคือผู้ที่ยอมรับว่าตนเองเป็นผู้ที่ศึกษาคำสอนของพระพุทธศาสนา หรือมีความเชื่อในคำสอน ศาสนาคือคำสอน พุทธศาสนา คือคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราไม่รู้ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าคืออย่างไร แล้วเราจะบอกว่าเราเป็นชาวพุทธได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เราจะเป็นชาวพุทธตอนเกิด แต่ก็เป็นโชคดีของผู้ที่ได้เกิดในประเทศที่นับถือพุทธ ยังมีโอกาสที่ว่าเมื่อไรได้ฟังพระธรรม เมื่อนั้นก็จะเริ่มเข้าใจพระธรรม แต่ถ้ายังไม่เข้าใจพระธรรม ก็ยังคงเป็นชาวพุทธเพียงขั้นเลื่อมใสว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้หมดจดจากกิเลส แล้วก็พระคุณธรรมประการอื่นๆ แต่ไม่สามารถที่จะเข้าใจในคุณธรรมเหล่านั้นได้เลย ถ้าไม่ศึกษา
ผู้ฟัง พระคุณเจ้าที่วัดท่านถามมาว่า ถ้าเผื่อรู้พระอภิธรรม หรือรู้ว่าไม่มีตัวตนจริงๆ เราจะเอามาใช้ประโยชน์กับชาวบ้านทั่วไปอย่างไร เพราะว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ก็มีหนี้มีสิน แล้วเขาบอกว่า ถ้าไม่มีตัวตนจริงๆ แล้ว หนี้สินมันก็ไม่มีเหมือนกัน อย่างนี้จะเอามาใช้ประกอบได้ไหม ท่านฝากถามมา
ท่านอาจารย์ ชาวพุทธคงไม่ได้เป็นหนี้ทั้งหมด ทำไมบางคนเป็นหนี้ บางคนไม่เป็น มีเหตุหรือไม่มีเหตุที่จะให้เป็น และไม่เป็น ทุกอย่างต้องมาจากเหตุ แล้วเหตุก็ลึกไปถึงการสะสมของชาติก่อนๆ ด้วยไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว เพราะฉะนั้น ทุกอย่างไม่ใช่เพียงเผิน หรือจะเชื่อว่า เราขออะไรก็ได้ แล้วเวลาขอแล้วไม่ได้ ทำไมไม่พูด แล้วที่ไม่ได้หรือได้ มาจากขอหรือมาจากอะไร ชาวพุทธต้องเป็นผู้ที่มีกัมมัสสกตาญาณ คือ ปัญญาที่เชื่อในเรื่องกรรม และผลของกรรมอย่างมั่นคง ในสมัยที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ทรงดับขันธ ปรินิพพาน พระองค์ทรงแสดงธรรม แต่พระองค์ก็ไม่สามารถที่จะทำให้คนทุกคนที่พระองค์ทรงแสดงธรรมเสมอกันหมดได้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของปัญญาความเห็นถูก ก็ยังคงมีคนที่มีความเป็นผิด แม้ว่าในสมัยที่มีโอกาสได้เห็น ได้ฟัง ก็ยังเห็นผิดได้
เพราะฉะนั้น ต้นเหตุของทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิตเริ่มตั้งแต่เกิด แม้แต่เกิดมา ก่อนที่จะมีหนี้มีสิน ตอนเกิดมา เกิดมาเพราะอะไร ทำกรรมอะไรมาที่จะต้องเกิดมาต่างกัน เพราะไม่ใช่มีแต่มนุษย์ที่เกิด สัตว์เดรัจฉาน นก หนู ปู ปลา มีทั้งนั้นเลย ช้าง มด อะไรตัวเล็กๆ ตัวใหญ่ก็มีทั้งนั้น อะไรทำให้มีการเกิดที่ต่างกัน และใครจะห้ามไม่ให้มีการเกิดได้ แล้วการเกิดของแต่ละคนเป็นผลของกรรมหนึ่ง แต่หลังจากที่เกิดแล้วก็ยังกรรมอื่นที่จะให้เกิดอีก เนื่องจากความไม่รู้อะไร เราก็ตัดสินง่ายๆ เอาแค่มีหนี้สินเท่านั้นเอง แต่ว่าจริงๆ แล้วตามาจากไหน หูมาจากไหน ความคิดต่างๆ มาจากไหน ของแต่ละคน ดีชั่วต่างๆ ของแต่ละคนที่สะสมมาก็ไม่เหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ทรงแสดงทั้งเหตุใกล้ และเหตุไกล ไกลมากไม่ว่าจะเป็นกี่ปีมาแล้ว กี่ชาติมาแล้วก็ตาม ก็ยังสามารถที่จะให้ผลในปัจจุบันนี้ได้ เช่นพระองค์เป็นตัวอย่าง เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงคุณเลิศ แต่ก็ทรงประชวร ก็เป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้น ใครบ้างที่เกิดมาแล้ว จะไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่มีทุกข์บ้าง สุขบ้าง มีหนี้สินบ้าง ไม่มีบ้างก็มี แล้วแต่เหตุ