สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๘๑
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๘๑
ท่านอาจารย์ ไม่ทราบสนใจเรื่องอะไรคะ
ผู้ฟัง เรื่องจิต
ท่านอาจารย์ เรื่องจิต ไม่มีใครมองเห็นเลย แต่ว่าทุกคนมีจิต น่าสนใจ ทำไมเราไม่รู้สิ่งที่เรามี แล้วเวลาที่เราอยากจะรู้เรื่องจิต บางคนก็จะต้องไปอ่านหนังสือของพวกศาสตร์อื่นๆ มาประกอบ แล้วก็มีความเข้าใจเรื่องจิตเพียงบางส่วน แต่ไม่ว่าใครจะเขียนเรื่องของจิตอย่างไรก็ตาม จะไม่เท่ากับการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งแสดงเรื่องจิตไว้อย่างถี่ถ้วน แล้วก็อย่างละเอียดมาก
ขณะนี้ทุกคนมีจิต แต่ก็ยังไม่รู้ว่า จิตนี่ ไม่ใช่เรา มีใครคิดว่าจิตไม่ใช่เราบ้างไหมคะ ทั้งๆ ที่เคยได้ยินได้ฟังมาว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ธรรมก็หมายความถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงๆ สิ่งที่มีจริงทั้งหมด ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เมื่อมีเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น อย่างขณะนี้ถ้าไม่มีเสียง ได้ยินก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง นี่เป็นแต่เพียงตัวอย่าง แต่ถ้าศึกษาโดยละเอียดก็จะทราบว่า สิ่งใดๆ ที่เกิดขึ้นต้องมีปัจจัยปรุงแต่ง จึงจะเกิดขึ้นได้ แม้แต่ความคิดของทุกคนหลังจากที่เห็นแล้ว ก็คิดต่างกัน รับรองได้ว่า ขณะนี้คิดไม่เหมือนกันสักคน แล้วก็เป็นจิตนั่นแหละที่คิด เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีจิตก็คิดไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ที่ทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏได้ ก็เพราะมีจิต เป็นสภาพที่รู้ เป็นสภาพที่เห็น เป็นสภาพที่ได้กลิ่น เป็นสภาพที่ลิ้มรส เป็นสภาพที่วันหนึ่งๆ จิตเกิดขึ้นทำงาน ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีขณะใดเลยสักขณะเดียวซึ่งไม่มีจิต ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่
ตอนนี้สงสัยไหมคะ
ตั้งแต่เกิดจนตายไม่มีสักขณะเดียวที่ขาดจิต เราคิดว่าเป็นเรา แต่ความจริงก็คือเป็นจิตที่เกิดขึ้นทำกิจการงานหน้าที่แต่ละอย่างๆ นั่นเอง ขณะใดที่ไม่มีจิต ขณะนั้นเป็นอะไรคะ หมดลมหายใจคือตาย แต่ต้องเกิดอีก ตราบใดที่ไม่ใช่พระอรหันต์ แม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระชาติสุดท้ายก็ต้องเกิด ถ้าไม่เกิดก็จะไม่มีการตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาแล้ว
เพราะฉะนั้น จิตนี้ขาดไม่ได้เลย สำหรับสัตว์ บุคคล หรือสิ่งที่มีชีวิต นกมีจิตไหมคะ นก มี แล้วทำไมจิตของนก กับจิตของเรา จะเหมือนหรือไม่เหมือนกันคะ นกเห็นไหมคะ เห็น ถ้าเอารูปร่างออก จิตเห็นอย่างเดียว เป็นจิตที่เหมือนกันหมด เพราะว่าสามารถเพียงเห็น ทำอย่างอื่นไม่ได้ คิดนึกไม่ได้ เพราะว่าจิตแต่ละขณะเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับสืบต่อกัน เป็นจิตที่ทำหน้าที่การงานคนละอย่าง
เพราะฉะนั้น เราเรียกว่าคน เรียกว่าสัตว์ เพราะเหตุว่ามีรูปร่างต่างกัน จิตเห็นของช้างกับจิตเห็นของมด เหมือนกันเลย รวมทั้งจิตเห็นของมนุษย์ เพราะเหตุว่าธรรมเป็นธรรม ที่เห็นเป็นธรรมชนิดหนึ่ง เป็นจิตชนิดหนึ่งซึ่งไม่ว่าจะอยู่ในรูปร่างใด บนอากาศ หรือว่าใต้ทะเล หรือว่าบนบก ก็ต้องทำหน้าที่เห็นอย่างเดียว
เพราะฉะนั้น จิตเห็นไม่มีใครเป็นเจ้าของ ต้องมีเหตุปัจจัยเกิด เกิดแล้วก็ดับ เพราะเหตุว่าไม่ได้เห็นตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ตอนนี้เรากำลังเรื่องจิต ซึ่งต่างจากรูปธรรม
ธรรมที่มีจริง มีลักษณะ ๒ อย่าง ต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่เหมือนกันเลย สภาพธรรมอย่างหนึ่ง ไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น เช่น แข็ง แข็งไม่รู้ว่ามีใครกำลังถูกแข็ง หรือร้อน ก็ไม่มีใครรู้ว่า ขณะนั้นตัวเองร้อนก็ไม่รู้ สภาพร้อนก็ไม่สามารถรู้อะไรเลยทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงทั้งในโลกนี้ โลกอื่นๆ ในสากลจักรวาลทั้งหมด จะมีลักษณะที่ต่างกันเป็น ๒ อย่าง ลักษณะหนึ่งเกิดขึ้นจริง แต่ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เช่น เสียง ปรากฏ แต่ตัวเสียงไม่รู้อะไรเลย กลิ่นก็ปรากฏได้ แต่ว่าตัวกลิ่น สภาพกลิ่นก็ไม่รู้อะไรเลย
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เฉพาะโลกนี้หรือโลกไหนๆ เหมือนกันหมดทุกโลก ก็ต้องมีสภาพธรรมเพียง ๒ อย่าง คือ อย่างหนึ่งไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า “รูปธรรม” เวลาที่เราได้ยินภาษาบาลีในภาษาไทย ไม่ตรงกับความหมายที่มีในพระไตรปิฎก เพราะว่ารูปธรรมสมัยนี้ใช้กันมาก หมายความว่าโครงการ สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามซึ่งยังไม่เป็นรูปร่าง ก็เรียกว่ายังไม่เป็นรูปธรรม พอเริ่มเป็นรูปร่างก็ใช้คำว่ารูปธรรม แต่ความจริงรูปธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริง การตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้แจ้งแทงตลอดทุกโลกว่า ไม่ว่าจะเป็นโลกไหน ขณะไหน เมื่อมีสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้น ไม่ใช่สภาพรู้ สิ่งนั้นๆ เป็นรูปธรรมทั้งหมด
รูปธรรมต้องเห็นได้หรือเปล่า ถึงจะเป็นรูป
ผู้ฟัง ไม่จำเป็นค่ะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ถึงไม่เห็นเช่นเสียง ก็มี เพราะฉะนั้น เสียงก็เป็นรูป อันนี้ก็เป็นความถูกต้อง ที่ตั้งแต่นี้ไปเราก็จะรู้ว่า ธรรมคืออะไร ธรรมคือสิ่งที่มีจริง มีลักษณะเฉพาะอย่างๆ ซึ่งต่างกัน อย่างกลิ่นกับเสียงก็ต่างกัน รสกับเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ก็ต่างกัน เป็นสภาพธรรมที่มีจริง แล้วก็มีลักษณะเฉพาะอย่างๆ