ปัญญาจะทำให้ค่อยๆ คลายความเป็นเรา
ผู้ฟัง ตามที่พิจารณาว่าถ้าสักกายทิฏฐิเกิดได้จากครั้งที่แล้วที่กล่าวว่า เกิดได้ ๖ ทวาร
ท่านอาจารย์ แต่ว่าไม่ได้รู้บัญญัติ มีปรมัตถ์ และก็ยึดถือปรมัตถ์นั้นว่าเป็นเรา
ผู้ฟัง เราสามารถรู้ได้แค่นี้หรือ
ท่านอาจารย์ แข็งที่ตัวคุณเริงชัยมีใช่ไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เป็นคุณเริงชัยหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ นั่นแหล่ะคือยึดถือแข็งที่ปรากฏทางปัญจทวารโดยไม่ต้องใช้ชื่อ โดยไม่ต้องมีคำอะไรเลย ไม่ต้องมีคำว่า “สักกายทิฏฐิ” แต่ขณะนั้นเป็นเรา มีการยึดถือ ในแข็งว่าเป็นเรา นั่นก็คือความเห็นผิด แต่ไม่ใช่เป็นการรู้เรื่องราวบัญญัติ มีลักษณะของ ปรมัตถ์ มีลักษณะของปรมัตถ์ แล้วยึดถือในปรมัตถ์นั้น
ผู้ฟัง แล้วโดยพยัญชนะอื่น เห็นเป็นสัตว์บุคคลได้
ท่านอาจารย์ ถ้าเห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นสัตว์บุคคลต้องเป็นทางมโนทวาร
ผู้ฟัง ทางมโนทวารเป็นสัตว์ บุคคล ทางปัญจทวารเห็นเป็นปรมัตถ์ อย่างดอกไม้สวย ที่อาจารย์บอกว่าทางมโนทวารก็ดีใจ
ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นดอกไม้ก็ต้องทางมโนทวาร ถ้าเห็นสีเป็นสิ่งที่สะสมมาที่จะ พอใจในสีที่ปรากฏ ขณะนั้นก็เป็นอกุศลจิตทางปัญจทวาร ถ้าเป็นสีสันวัณณะก็เกิดต่อ จากจักขุวิญญาณ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โลภะก็ติดข้องในสีนั้น ก่อนที่จะรู้ว่าเป็นอะไร
อ.วิชัย ขอเรียนถามอาจารย์ว่าถ้าโดยนัยที่เห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณในความเป็นตนที่เป็นทิฏฐิ อันนี้ก็พอเข้าใจ ถ้าพูดถึงเป็นเรื่องราวต่างๆ จะยึดถือด้วยสักกายทิฏฐิได้ไหม
ท่านอาจารย์ เป็นความคิดนึกต่อจากปรมัตถธรรม
อ.วิชัย ก็คือแน่นอนต้องมีปรมัตถธรรมจึงจะคิดเป็นเรื่อง
ท่านอาจารย์ แต่ขณะที่กำลังคิดเป็นคำ ขณะนั้นต้องเป็นทางมโนทวาร
อ.วิชัย ในกรณีที่สักกายทิฏฐิที่ยึดถือเอาบัญญัติจะเป็นลักษณะอย่างไร
ท่านอาจารย์ คิดว่ามีความคิดเรื่องราวเกิดขึ้น ไม่ใช่เพียงแต่มีปรมัตถธรรม เป็นอารมณ์ คิดว่ามีผู้สร้างอย่างนี้ หรือว่าคิดว่าโลกนี้เกิดขึ้นมาได้ยังไง แม้ว่าขณะนั้น เป็นปรมัตถธรรมทางหนึ่งทางใดที่ดับไปแล้ว ก็ยังเกิดความคิดเป็นเรื่องราวว่าสิ่งนั้นเกิด ขึ้นได้อย่างไร
ผู้ฟัง รู้ไม่รู้เป็นอย่างไร
ท่านอาจารย์ แต่การที่คุณเริงชัยจะรู้ลักษณะของเห็นต้องรู้ทางมโนทวาร
ผู้ฟัง อันนั้นเป็นขั้นวิปัสสนา อาจารย์เคยตอบ
ท่านอาจารย์ ยังไงก็ตามแต่วิปัสสนาคือการรู้จริง เพราะฉะนั้นจะรู้ผิดจากความ จริงไม่ได้ การที่จะรู้ลักษณะของนามธรรมไม่ว่าประเภทใดทั้งสิ้นต้องรู้ทางมโนทวาร
ผู้ฟัง อย่างถ้ารู้ที่เกิดได้ทางปัญจทวาร และรู้ที่เกิดได้ ทางมโนทวาร ธาตุรู้อย่างเดียวกันหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นต้องตอบเป็นขั้นๆ ก็ต้องถามอีกว่าที่ตัวคุณเริงชัยมี อะไรอีก
ผู้ฟัง ผมก็ไม่รู้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ ไม่รู้อย่างนี้ก็คือว่าเราไม่ได้ศึกษาธรรม ต้องเป็นคนที่ตรง เคยยึดถืออะไรว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา และขณะนั้นหรือขณะนี้ที่ตัวมีอะไรบ้าง
ผู้ฟัง มียึด ไม่รู้เขาก็ยึด
ท่านอาจารย์ ที่กายของคุณเริงชัยทราบไหมว่ามีอะไรบ้างที่ปรากฏที่กายได้ตั้ง แต่ศรีษะจรดเท้าลักษณะจริงๆ จะปรากฏคืออะไร ตามการศึกษาต้องพิจารณาว่าถูกต้อง และจริงหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าเมื่อศึกษาว่าอย่างนี้แล้วเราก็ไม่เข้าใจได้ แต่ต้องเป็นความ เข้าใจของเราเองว่าที่ได้ฟังมา เมื่อพิจารณาไตร่ตรองแล้วเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ เปล่า
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ขอตอบได้ไหม
ท่านอาจารย์ เชิญค่ะ มีแข็ง คุณสุกัญญาพูดว่าแข็ง แน่นอนใช่ไหม ทุกคนก็รู้ อย่างเดียวกัน แต่เราก็ได้ศึกษาตามความเป็นจริงว่าเวลาที่แข็งปรากฏจะมีอย่างอื่น ปรากฏไม่ได้ ถูกต้องไหม จะมีสภาพรู้ที่กำลังรู้แข็งอันนี้แน่นอนที่สุด เพราะว่าจิตเกิดขั้น ทีละหนึ่งขณะ และมีการรู้อารมณ์ที่ละลักษณะ ทีละอย่าง เพราะฉะนั้นขณะนั้นจริงๆ มีจิต ที่กำลังรู้แข็ง นี่คือความจริงสัจจธรรม ไม่มีอื่นเลย เพราะฉะนั้นในขณะนั้นถ้าเป็นความรู้ จริง อะไรก็ปรากฏไม่ได้เลยทั้งสิ้น แต่แข็งที่จิตกำลังรู้นั้นเป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เป็น
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เป็น เป็นวิปัสสนาญาณอะไรที่จะว่าไม่เป็น
ผู้ฟัง ก็เป็นสภาพธรรม
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะนี้แข็ง แล้วเราก็ยึดถือแข็งที่กายว่าเป็นกาย และก็เป็นเราด้วย แต่ว่ายังมีอย่างอื่นปะปนเยอะแยะ แต่ถ้าเราจะรู้ความจริงว่านั่นไม่มี อะไรเลยนอกจากแข็งกับสภาพธรรมที่รู้แข็ง เมื่อไม่มีอะไรเลยแล้วแต่มีแข็งๆ นั้นเป็นเรา หรือเปล่า นอกจากสภาพรู้กับแข็ง
ผู้ฟัง ก็ไม่เป็นเรา
ท่านอาจารย์ เดี่ยวนี้มีตัวคุณสุกัญญา และก็แตกย่อยออกไปละเอียดยิบ นอก จากที่จะมีแข็ง ก็มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก มีสุข มีทุกข์ มีปวด มีเมื่อย เยอะแยะหมด แต่ เวลาที่สภาพธรรมคือจิตเกิดขึ้น เวลานี้ยังไม่มีปัญญาระดับนั้นแต่กำลังพูดถึงความจริง ว่าเวลาที่สภาพรู้เกิดขึ้นรู้แข็งตามความเป็นจริงต้องไม่มีอะไรเลย แต่เพราะเหตุว่ามีอะไร หลายอย่างเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว ยังไม่ได้รู้ความจริงว่าขณะนั้นคุณสุกัญญา ก็เคย จำไว้ว่านี่เราที่แข็งนี่เป็นเรา เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีอะไรเลยก็ยังคงมีความจำว่าแข็งเป็นเรา นั่นคือสักกายทิฏฐิ ซึ่งแม้ไม่มีคำใดๆ เลยทั้งสิ้นยังไม่เป็นเรื่องราวที่จะคิดนึกเป็นคำ แต่ ไม่ว่าสภาพธรรมใดปรากฏที่เคยยึดถือว่าเป็นตัวเรา ความรู้สึกนี้จะหายไปไม่ได้ ปัญญา ยังไม่รู้ชัดจะหายไปได้ยังไง เพียงแต่ว่าเมื่อสภาพนั้นปรากฏก็ทำให้สามารถเข้าใจถูกได้ ว่าที่ยึดถือรูปว่าเป็นเรา ก็คืออย่างนี้แหล่ะเหมือนธรรมดา แต่ว่าเพราะว่าการเกิดดับสืบ ต่ออย่างรวดเร็ว แม้รูปที่ปรากฏที่กายก็ดับไปแล้ว ก็ไม่มีการที่จะไปรู้ชัดว่าขณะนั้นการ ยึดถือว่าเป็นเรายึดถืออะไรบ้าง แต่จริงๆ แล้วก็ยึดถือสภาพธรรมทั้งหมดที่เป็นปรมัต ถธรรมนั่นแหล่ะ เพราะฉะนั้นถ้ามีการรู้จริงๆ มีสติสัมปชัญญะ และขณะนั้นก็มีธาตุรู้ที่ กำลังรู้แข็ง ขณะนั้นก็จะมีการยึดถือแข็งนั้นว่าเป็นเราจนกว่าปัญญาจะรู้ชัด และก็ดับหมด ค่อยๆ คลายความเป็นเราจากสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นเวลาที่บอกว่ายึดถือขันธ์ ๕ ไม่ได้ออกมาสักขันธ์เดียวเพราะว่าเกิดดับสลับเร็วมาก และรวมเป็นเราไปหมดเลย นี่คือ ความคิด นี่คือการฟัง แต่เวลาที่มีสติสัมปชัญญะเกิด และก็รู้ตรงนั้นจริงๆ ถึงแม้ว่าจะ เป็นวิปัสสนาญาณเป็นขั้นๆ ความเป็นเราก็ยังไม่หมด เพราะฉะนั้นจึงต้องรู้ว่าปัญญาแค่ นั้นไม่พอ จะต้องมีการรู้ลักษณะจริงๆ อย่างนั้นเพิ่มขึ้นจนกว่าจะดับการยึดถือสภาพธรรม ว่าเป็นตัวตนได้ เป็นสมุทเฉทไม่เกิดอีกเลยเมื่อรู้แจ้งอริยสัจจธรรม
ที่มา ...