คลายการยึดถือสักกายทิฏฐิจากสิ่งที่ปรากฏ
ผู้ฟัง สมมติว่าเรามีแผลที่ข้อศอก แล้วเวลาเราไปกระทบแผลเราก็ รู้สึกเจ็บ อันนี้ก็เป็นความรู้สึกเจ็บที่เกิดขึ้นจริงๆ
ท่านอาจารย์ เจ็บนั้นก็เราอีก เพราะฉะนั้นเวลาที่จะยึดถือสภาพธรรมว่าเป็น เรา แล้วใช้คำรวมว่าขันธ์ ๕ ทีละขันธ์ ถ้าเป็นความรู้ตรง และค่อยๆ ถูกต้องขึ้น ก็จะเข้า ใจความหมายของคำว่าสักกายทิฏฐิ ไม่ใช่ชื่อ แต่ใช้คำนี้แสดงความติดข้องยึดถือว่าเป็น เราจึงมีคำว่า “สักกายทิฏฐิ” ไม่ใช่ว่ามีสักกายทิฏฐิแล้วไปหาว่าอยู่ไหน แต่ลักษณะที่มีจะ ต้องใช้คำศัพท์ให้รู้ความหมายว่าลักษณะนั้นคือลักษณะที่เป็นการยึดถือว่าเป็นเราจึงใช้ คำว่า “สักกายทิฏฐิ” ในสิ่งที่เป็นปรมัตถธรรมด้วย ไม่ใช่เป็นแต่เพียงการคิดเรื่องราวด้วย
ผู้ฟัง แต่ถ้าเกิดไม่ได้ใช้คำว่า “สักกายทิฏฐิ”
ท่านอาจารย์ ลักษณะนั้นก็คือการติดข้องเป็นเราอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเวลาที่ ไม่มีคำใดๆ เลย แต่เป็นเรา สิ่งนั้นแหล่ะเป็นเรา แข็งนั้นก็เป็นเรา ถ้าเป็นไข้ตัวร้อน ลักษณะที่ร้อนปรากฏ เราร้อนหรือเปล่าปกติธรรมดา เราร้อน แต่เมื่อมีความรู้ในลักษณะ นั้นที่กำลังร้อน ความเป็นเราไม่ได้หายไปไหนเลย ร้อนนั้นก็เป็นเรา จึงเข้าใจความ หมายของสักกายทิฏฐิว่าถ้าไม่รู้ลักษณะของสักกายทิฏฐิ ละสักกายทิฏฐิไม่ได้ ถ้าไม่รู้ ลักษณะของนามธรรม รูปธรรม ก็ละการยึดถือนามธรรม และรูปธรรมว่าเป็นเราไม่ได้ แล้ว วันหนึ่งๆ ก็มีนามธรรม และรูปธรรมมากมายหลายอย่างผ่านไปรวดเร็วด้วยความไม่รู้ทั้ง หมด เพราะฉะนั้นเวลาเริ่มรู้ก็ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ อบรม ค่อยๆ เจริญ แล้วก็จะรู้ว่าสักกาย ทิฏฐิที่มีจริงๆ มีในขณะไหน และลักษณะของสักกายทิฏฐิคือขณะนั้นอย่างนั้น ซึ่งเมื่อ ปัญญารู้ขึ้นในลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นนาม และรูป การคลายการยึดถือสักกายทิฏฐิ จากสิ่งนั้นที่ปรากฏก็ค่อยๆ มี แต่ไม่ได้หมายความว่าจะหายไปได้ทันทีทันใดต้องเป็น วิปัสสนาญาณแต่ละขั้น
ผู้ฟัง แต่จำเป็นไหมว่าจะต้องสำคัญที่จะรู้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมฟังเพื่อให้เข้าใจว่าใครเป็นผู้แสดง เรา หรือ เราอ่านตามยังไม่รู้เลย ต้องมานั่งคิดใช่ไหม สักกายทิฏฐิ ๒๐ แต่ผู้แสดงต้องรู้ ไม่ ใช่ไปนั่งคิดแล้วมาบอกเราใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็จะเห็นความต่างกันของปัญญาของผู้รู้ ตั้งแต่พระปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหนือผู้อื่นใดเพราะแม้พระอรหันต์ก็ ยังต้องฟังธรรม พระอรหันต์จะไม่มีความรู้เท่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยใช่ไหม ต้องฟัง และผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ พระอริยขั้นต้น พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระ อนาคามี พระอรหันต์ พระโสดาบันไม่สามารถที่จะรู้จิตที่เป็นโลกุตตระที่สูงกว่านั้นได้ และปุถุชนที่สดับ และไม่ได้สดับที่ได้ฟัง และพิจารณาไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความรู้ถูก ความเข้าใจถูกของตัวเอง กับผู้ที่ฟังเพียงชื่อ และก็ติดเพียงชื่อ สงสัยเรื่องชื่อ และอยาก เข้าใจเพียงชื่อ ไม่มีทางที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมได้ และไม่มีทางที่จะเข้าถึงอรรถ ของคำนั้นได้เลย เพียงชื่อ เพรราะเหตุว่าสภาพธรรมที่มีจริงต่างหากที่มีลักษณะอย่าง นั้น ที่ผู้นั้นค่อยๆ รู้จักโดยสติสัมปชัญญะเริ่มเกิด และก็ระลึก และก็ค่อยๆ รู้ ซึ่งค่อยๆ รู้ก็ รู้ได้ด้วยตัวเองว่านานแค่ไหน แต่ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ตัวตนหรือโลภะพยายามหันเหให้ไป ทางอื่นซึ่งไม่ใช่หนทางเลย เพราะฉะนั้นก็เป็นลาภอันประเสริฐ ลาภานุตริยที่มีศรัทธาที่ ได้ยินได้ฟังอย่างถูกต้องที่จะเจริญต่อไปด้วยความมั่นคง
ที่มา ...