ขั้นแรกรู้ลักษณะที่ต่างกันของนามธรรมและรูปธรรม
ผู้ฟัง ลักษณะแข็งที่ปรากฏที่ตัวเรา แต่ยังเป็นลักษณะที่เราบอกว่า เราแข็งอยู่ อันนี้ก็ยังไม่ใช่สติระลึกสภาพธรรมที่ปรากฏใช่ไหม จนกว่าจะระลึกได้ว่า สภาพแข็งนั้นเป็นปรมัตถธรรมจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ตัวเราอย่างนี้ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ เวลาที่แข็งปรากฏแล้ว จิตที่เกิดต่อในวาระที่แข็งยังไม่ดับ ไปคือชวนจิตคือเป็นกุศลหรือเป็นอกุศลประเภทหนึ่งประเภทใด ถึงแม้เป็นโลภะไม่มี ทิฏฐิความเห็นผิดเกิดร่วมด้วยก็ได้ ก็ดับแล้วเร็วมาก ยังไม่ทันจะรู้ว่าขณะนั้นมีการยึดใน สิ่งนั้นด้วยความเป็นเราเพราะว่าลักษณะนั้นไม่ได้เกิด เพราะฉะนั้นการแสดงธรรมนี่ตาม ความเป็นจริงทุกอย่าง แล้วจะรู้ความจริงก็ต่อเมื่อสติสัมปชัญญะรู้ตรงลักษณะนั้นซึ่งสั้น มาก เพียงอาศัยระลึกคิดดูเร็วแค่ไหน ดับแล้ว แต่เพียงอาศัยระลึกบ่อยๆ การที่จะค่อยๆ ชินกับลักษณะของสภาพธรรมซึ่งต่างกันที่ทรงแสดงไว้โดยชาติ จิตเห็นเป็นชาติวิบากนี่ คือคำที่ได้ยิน แต่ลักษณะเห็นต่างกับลักษณะที่พอใจเป็นความติดข้องหรือลักษณะของ โทสะซึ่งเป็นความขุ่นใจ หรือลักษณะของกุศลแต่ละชนิดซึ่งใครก็ปรุงแต่งไม่ได้ นอก จากการสะสมซึ่งมีปัจจัยที่จะเกิดเป็นอย่างนั้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นก็ไม่ ได้หมายความว่าทุกครั้งที่มีการเห็น ก็จะมีความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นเรา แต่ก็จะรู้ได้ตามความเป็นจริงว่าขณะนั้นเป็นอะไร แต่สำคัญที่สุดก่อนอื่นทั้งหมดคือรู้ ลักษณะที่ต่างกันของนามธรรม และรูปธรรม เพราะว่าดับแล้วเร็วมากเพียงอาศัยระลึกเท่านั้น
ที่มา ...