คำว่า “ธรรม” เป็นสิ่งที่มีจริง มีจริงเมื่อไร
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทั้งหมดที่ได้ยินได้ฟัง ขอเริ่มตั้งแต่คำว่า “ธรรม” เป็นสิ่งที่มีจริง มีจริงเมื่อไรคะ จริงเมื่อเกิดขึ้นปรากฏ ถ้าไม่เกิดขึ้น ไม่มีอะไรปรากฏเลย สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏในขณะนี้ สิ่งนั้นต้องเกิดขึ้นจึงได้ปรากฏ เพราะฉะนั้น เสียงมีจริงเมื่อไรคะ
ผู้ฟัง เมื่อเราพูดหรือออก
ท่านอาจารย์ เมื่อเสียงเกิดขึ้น แล้วปรากฏแล้วหมดไป นี่คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งใดที่เกิด เกิดเพราะมีปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อเกิดแล้วจะพ้นจากลักษณะที่ไม่เที่ยงไม่ได้เลย ไตรลักษณะ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะฉะนั้น เสียงมีเมื่อไร มีเมื่อเสียงเกิดขึ้น และเสียงก็ดับไป ทุกอย่างมี เมื่อเกิดขึ้น แล้วที่จะเกิดขึ้นได้ก็เพราะมีเหตุปัจจัยจึงได้เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น ที่เคยเป็นเราตั้งแต่เกิดจนตายก็เป็นสภาพธรรมที่เกิด แต่ว่าจากการตรัสรู้ ทรงแสดงว่า ธรรมที่เกิดแล้วต้องดับอย่างเร็วมาก จนกระทั่งไม่ปรากฏการดับเลย ตั้งแต่เราเกิดมาจนถึงเดี๋ยวนี้ จิตของเราเปลี่ยนแปลงไปมากมายนับไม่ถ้วนหรือเปล่าคะ เวลาที่โกรธ ไม่ใช่เวลาที่กำลังติดข้อง เวลาที่เมตตา ก็ไม่ใช่เวลาที่กรุณา สภาพธรรมทุกอย่างเกิดเมื่อมีปัจจัยแล้วก็ดับ แล้วก็เกิดแล้วก็ดับ แล้วก็เกิดแล้วก็ดับสืบต่อกัน ซึ่งนามธรรมหรือนามธาตุมี ๒ อย่าง เมื่อกี้นี้รูป รูปธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่สภาพรู้ ส่วนนามธรรมมี ๒ อย่าง คือ จิตกับเจตสิก ถ้าไม่ได้ศึกษาธรรม ทุกคนจะพูดเรื่องจิตเพียงคร่าวๆ แต่จะไม่มีคำว่า “เจตสิก” เลย เจตสิกเป็นสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นนามธรรมเกิดกับจิต ทุกครั้งที่จิตเกิดมีเจตสิกปรุงแต่งให้เกิดด้วย
เพราะฉะนั้น ขณะใดที่จิตเกิดต้องมีเจตสิกซึ่งเป็นนามธรรมเกิดด้วย จิตเป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ จิตไม่ทำอะไรเลย แต่เป็นใหญ่ในการรู้ เช่นขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ คนตายมีรูปครบตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แต่ไม่เห็น เพราะไม่มีจิต เพราะฉะนั้น จิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ เช่นในขณะนี้เสียงปรากฏ ถ้าไม่มีจิต เสียงปรากฏไม่ได้เลย เสียงเกิดแล้วก็ดับไป เพราะว่าเสียงจะเกิด
เมื่อมีสิ่งที่แข็งกระทบกัน ก็ทำให้เสียงเกิดขึ้น แล้วเสียงก็ดับไป แต่เสียงที่ปรากฏขณะนี้ เพราะมีสภาพได้ยิน หรือสภาพที่รู้ลักษณะของเสียง เสียงขณะนี้ มีตั้งหลายเสียง สภาพที่รู้เสียงแต่ละเสียง คือ จิต แต่ว่าจิตหนึ่งก็รู้เสียงหนึ่ง ก็อีกจิตหนึ่งก็รู้อีกเสียงหนึ่ง เพราะว่าจิตจะเกิดพร้อมกัน ๒ ขณะไม่ได้เลย
สภาพของจิตเป็นธาตุที่น่าอัศจรรย์ เพราะว่าจิตเหมือนอย่างไฟ เรารู้ได้ว่าไฟร้อน สามารถที่จะเผา ให้ความอบอุ่น ทำลายก็ได้ สร้างให้เจริญก็ได้ นั่นเป็นลักษณะของธาตุไฟ แต่สำหรับจิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่ในการรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏให้รู้ และตัวจิตเองเป็นสภาพธรรมที่น่าอัศจรรย์ คือ เป็นปัจจัยที่ทำให้เมื่อจิตเกิด และดับไป จิตขณะอื่นต้องเกิดสืบต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่นเลย
เพราะฉะนั้น จิตจะเกิดขึ้นเพียง ๑ ขณะ แล้วจิตนั้นต้องดับไปเสียก่อน จึงจะเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้นได้