พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ปรมัตถธรรม
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๘๖
พระไตรปิฎกมี ๓ ไตรคือ ๓ ปิฎกที่ ๑ พระวินัยปิฎก ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการประพฤติของพระภิกษุเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีเรื่องราว ไม่มีธรรมอะไรเลย มีอยู่ในพระวินัยด้วย แต่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องข้อประพฤติปฏิบัติของพระภิกษุ สำหรับปิฎกที่ ๒ เป็นเรื่องการที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมกับบุคคลไหน ในที่ใด แต่ก็เป็นธรรมทั้งหมด แต่ทรงแสดงหลากหลายโดยนัยประการต่างๆ มีแสดงแก่พระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าพิมพิสาร วิสาขามิคารมารดา อนาถบิณฑิกะ นี่เป็นส่วนของพระสูตร แต่สำหรับส่วนของพระอภิธรรมปิฎกที่ ๓ ไม่มีชื่อใดๆ ที่เป็นสัตว์บุคคลใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่เป็นเรื่องของสภาพธรรมล้วนๆ ซึ่งสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม มี ๔
ตอนนี้ต้องฟังดีๆ แล้วนะคะ
ปรมัตถธรรม มี ๔ คือ จิต ๑ เจตสิก ๑ รูป ๑ นิพพาน ๑ ได้ทราบว่า คนสมัยก่อนท่านย่อ สำหรับจิต ก็เป็น จิ เจตสิก ก็เป็น เจ รูปก็เป็น รุ นิพพานก็เป็น นิ เพราะฉะนั้น ท่านจะพูด จิ เจ รุ นิ หมายความว่า จิต เจตสิก รูป นิพพาน แต่ถ้าเราไม่รู้ว่า มีจิต เจตสิก มีรูป มีนิพพาน แล้วมีคนบอกเราว่า จิ เจ รุ นิ เราก็ไม่รู้ว่าอะไร เราก็ว่า จิ เจ รุ นิ ไปเรื่อยๆ แต่ถ้ารู้ว่ามี จิต เจตสิก รูป นิพพาน เรารู้เลยว่า จิ คือจิต เจ คือเจตสิก รุคือรูป และ นิคือนิพพาน
เพราะฉะนั้น นี่เป็นปรมัตถธรรม ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงตรัสรู้ปรมัตถธรรม จะไม่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าแม้ว่าสภาพนั้นมีจริง แต่ว่าต้องอาศัยปัญญาที่ได้อบรมจึงสามารถประจักษ์ว่าเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่เป็นเราอีกต่อไป แต่ว่ากว่าจะถึงวันนั้น สำหรับผู้ที่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ต้องอาศัยการบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัป สำหรับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ยิ่งด้วยปัญญา แต่ถ้ายิ่งด้วยศรัทธา ๘ อสงไขยแสนกัป ถ้ายิ่งด้วยวิริยะ .ก็ ๑๖ อสงไขยแสนกัป
กัปหนึ่งไม่ใช่ชาติหนึ่ง ไม่ใช่ ๑๐ ชาติ ไม่ใช่ร้อยชาติ กัปหนึ่งก็มีพระภิกษุกราบทูลถามพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า จะทรงอุปมากัปหนึ่งได้อย่างไร ก็ทรงแสดงว่า มีเกวียนที่บรรทุกเมล็ดงาเต็มเลย แล้วร้อยปี เมล็ดงาก็ตกไปเมล็ดหนึ่ง จนกว่าจะหมดงาที่อยู่ในเกวียนนั้น ก็จะนานสักเท่าไร เราคงไม่ต้องมานั่งคำนวณว่า มีเลข ๑ แล้วมีเลข ๐๐ ร้อยกว่าหรือเท่าไร เพราะถึงอย่างไรเราก็ไม่สามารถที่จะอายุยืนยาวไปจนกระทั่งถึงไปประจักษ์ว่า กัปหนึ่งได้ผ่านไปแล้ว เพราะฉะนั้น ก็เพียงแต่ให้เห็นว่า เป็นคำอุปมาว่ายากมากว่า การที่จะรู้ความจริงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ทรงพระมหากรุณาแสดงธรรมให้บุคคลอื่นได้ฟังด้วย สิ่งนั้นต้องยาก เพราะอะไรคะ กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ แต่ไม่มีใครสามารถจะรู้ความจริงได้ ถ้าไม่ฟังพระธรรมที่ทรงแสดง
เพราะฉะนั้น เราเคยรู้จักพระพุทธเจ้าโดยรูปที่เราสมมติเป็นตัวแทน เป็นเครื่องเตือนให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า แต่เราไม่เคยรู้เลยว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณมากน้อยแค่ไหน จนกว่าเราจะได้ฟังพระธรรม ถ้าจะเห็นความบริสุทธิ์ของพระองค์ก็ในพระวินัยปิฎก เพราะว่าพระวินัยสำหรับพระภิกษุ ทรงบัญญัติด้วยพระปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านพระสารีบุตรก็ไม่ได้บัญญัติสิกขาบท ไม่สามารถที่จะเห็นความลึกซึ้งของจิตน้อยจิตใหญ่ของบรรพชิตได้ ต้องเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงสามารถที่จะบัญญัติว่า สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควรสำหรับเพศบรรพชิต จะเห็นพระมหากรุณาคุณในพระสูตร เพราะว่าแม้ว่าบุคคลหนึ่งจะอยู่ไกลแสนไกล แต่ได้อบรมเจริญปัญญาที่สามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมได้ ก็เสด็จไปโปรดทรงแสดงธรรม เพราะเหตุว่าการที่บุคคล หนึ่งบุคคลใดจะมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้เข้าใจพระธรรม ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเลย และสำหรับปิฎกที่ ๓ ก็เห็นพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะแม้แต่จะทรงแสดงว่า ปรมัตถธรรม มี ๔ เราก็ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม แล้วธรรมนั้นก็เป็นปรมัตถธรรม แล้วก็เป็นอภิธรรมด้วย มี ๔ อย่างคือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน