สนทนาธรรมที่สหรัฐอมริกา ๑๘๗


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอมริกา ๑๘๗


    ท่านอาจารย์ ขณะนี้มีใครมีปรมัตถธรรมอะไรบ้าง ทุกคน

    ผู้ฟัง จิต เจตสิก รูป ๓ อย่าง

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    ผู้ฟัง ไม่มีนิพพาน

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ขณะนี้มีปรมัตถธรรม ๓ เท่านั้น แต่ไม่เอาขันธ์ ๕ มาพูดขันธ์ ๕ โดยนัยของปรมัตถธรรม ๓ ขันธ์อะไรเป็นปรมัตถ์อะไร ทุกคน รู้จักขันธ์ ๕ แล้ว ใช่ไหมคะ รูปขันธ์ ๑ เวทนาขันธ์ ๑ สัญญาขันธ์ ๑ สังขารขันธ์ ๑ วิญญาณขันธ์ ๑ ทราบใช่ไหมคะ ขันธ์ ๕ เพราะว่าถ้าไปวัดได้ยินแน่เลย ได้ยินขันธ์ ๕ มากกว่าปรมัตถธรรม แต่ความจริงทุกอย่างที่มีจริง ไม่ว่าจะขันธ์ ๕ หรืออะไรก็ตาม ต้องเป็นปรมัตถธรรม เป็นธรรมที่มี แม้ไม่เรียกชื่อ สภาพธรรมนั้นก็ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะได้

    เพราะฉะนั้นถ้าจะกล่าวถึงขันธ์ ๕ โดยนัยของปรมัตถธรรม ว่าขันธ์ไหนเป็นปรมัตถธรรมอะไร รูปขันธ์หมายความถึงลักษณะที่ไม่สามารถรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น เป็นรูป สี เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะ ในอดีตเป็นรูปขันธ์หรือเปล่า หลายวันก่อนก็มีรูป หลายปีก่อนก็มีรูป รูปนั้นเป็นรูปขันธ์หรือเปล่าคะ

    ผู้ฟัง รูปก็ยังเป็นรูปขันธ์อยู่

    ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ รูปต้องเป็นรูป เปลี่ยนแปลงลักษณะของรูปให้เป็นนามธรรมได้ไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ รูปต้องเป็นรูปเสมอไป รูปในอดีต นานแสนนานมาแล้ว หรือรูปในข้างหน้าที่จะเกิดขึ้น ก็คงเป็นรูปนั่นเอง

    เพราะฉะนั้น รูปทุกกชนิดเป็นรูปขันธ์ ไม่ว่ารูปในอดีต รูปขณะนี้ หรือรูปในอนาคตข้างหน้า ก็เป็นรูปขันธ์

    จิตทุกชนิด ทุกประเภทซึ่งทรงแสดงไว้ว่ามีจิต ๘๙ ประเภท หรือ ๑๒๑ ประเภทโดยพิเศษ จิตทั้งหมดทุกชนิดเป็นวิญญาณขันธ์ ไม่เว้นเลย ขณะนี้จิตกำลังเห็น เป็นวิญญาณขันธ์หรือเปล่าคะ

    ผู้ฟัง ใช่แน่นอนครับ

    ท่านอาจารย์ จิตที่ได้ยินเป็นวิญญาณขันธ์หรือเปล่าคะ

    ผู้ฟัง ก็เป็นวิญญาณขันธ์

    ท่านอาจารย์ จิตที่คิด

    ผู้ฟัง ก็เป็นวิญญาณขันธ์

    ท่านอาจารย์ จิตที่เกิดร่วมกับโลภะ

    ผู้ฟัง ก็ใช่

    ท่านอาจารย์ ค่ะ แปลว่าไม่เว้นเลย จิตในอดีต จิตปัจจุบัน หรือจิตข้างหน้า ก็เป็นวิญญาณขันธ์ ๕ ขันธ์นี่ รูปเป็นรูปขันธ์ จิตเป็นวิญญาณขันธ์ เหลืออีก ๓ ขันธ์ คือ เวทนาขันธ์ ๑ สัญญาขันธ์ ๑ สังขารขันธ์ ๑ ได้แก่ปรมัตถธรรมอะไรคะ ปรมัตถธรรมมี ๔ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เวทนาขันธ์ได้แก่ปรมัตถธรรมอะไรคะ ขันธ์ ๕ ได้แก่ปรมัตถธรรมอะไรแต่ละขันธ์ อย่างรูปขันธ์ ได้แก่รูป วิญญาณขันธ์ได้แก่จิต เพราะฉะนั้น อีก ๓ ขันธ์

    ผู้ฟัง ก็นามขันธ์ทั้งหมด

    ท่านอาจารย์ นามขันธ์ทั้งหมด คือนามขันธ์ประเภทไหนคะ

    ผู้ฟัง เวทนาขันธ์

    ท่านอาจารย์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ เหลืออยู่ ๓ ขันธ์ ปรมัตถธรรม ก็มีจิต เจตสิก รูป นิพพานไม่ใช่ขันธ์แน่นอน เพราะว่าไม่เกิดดับ เพราะฉะนั้นเมื่อจิต เจตสิก รูป ๓ อย่างแล้วก็มีขันธ์ ๕ รูปขันธ์ ได้แก่รูป วิญญาณขันธ์ ได้แก่ จิต เพราะฉะนั้นอีก ๓ ขันธ์ได้แก่ปรมัตถธรรมอะไรคะ

    ผู้ฟัง เจตสิกครับ

    ท่านอาจารย์ ได้แก่ เจตสิกทั้ง ๓ ขันธ์ เจตสิกทั้งหมดมี ๕๒ ชนิด เวทนาเจตสิก ๑ เป็น เวทนาขันธ์ สัญญาเจตสิก ๑ เป็นสัญญาขันธ์ ที่เหลือ ๕๐ เป็นสังขารขันธ์ ถ้าบอกว่าสังขารขันธ์แล้วจะเป็นเราได้ไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ ปัญญาเจตสิกเป็นขันธ์อะไรคะ ปรมัตถธรรม ๓ เป็นขันธ์ ๕ เพราะว่านิพพานไม่ใช่ขันธ์ ไม่เกิดไม่ดับ ในปรมัตถธรรม ๓ รูปเป็นรูปขันธ์ หมดไปเลย รูปจะเป็นนามขันธ์ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ที่เหลืออีก ๔ ขันธ์ เป็นนามขันธ์ทั้ง ๔

    ผู้ฟัง เป็นสังขารขันธ์

    ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ

    ที่เหลือจากเวทนา ที่เหลือจากสัญญา สติเป็นขันธ์อะไร สติไม่ใช่เวทนาเจตสิก ไม่ใช่สัญญาเจตสิก เพราะฉะนั้น สติเป็นสังขารขันธ์ ที่เหลือทั้ง ๕๐ ชื่อต่างๆ อยู่ใน ๕๐ หมดเลย เป็นสังขารขันธ์ทั้งหมด เพราะว่าเจตสิกทั้งหมดมี ๕๒ เจตสิก ๑ คือ เวทนาเจตสิกเป็นเวทนาขันธ์ สัญญาเจตสิกเป็นสัญญาขันธ์ ที่เหลือทั้งหมดเป็นสังขารขันธ์ โลภะเป็นขันธ์อะไรคะ

    ผู้ฟัง ก็เป็นสังขารขันธ์ เพราะมันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

    ท่านอาจารย์ เป็นสังขารขันธ์ โทสะเป็นขันธ์อะไร

    ผู้ฟัง ก็เหมือนกันครับ

    ท่านอาจารย์ สังขารขันธ์ อะไรๆ ที่เหลือทั้งหมดเป็นสังขารขันธ์ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น เราต้องเป็นผู้ตรงต่อธรรม เพราะเหตุว่ามีคำที่ทรงแสดงไว้ว่า สัพเพธัมมา อนัตตา ทุกอย่างที่เป็นธรรม ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา เป็นธรรมเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ถ้ามั่นคงอย่างนี้จริงๆ ปัญญาความเข้าใจธรรมขณะนี้เป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เป็นของเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เกิดแล้วก็ดับ นอกจากปัญญาแล้ว ทุกอย่างหมดเลยไม่ใช่ของเรา จึงจะตรงกับคำว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา นี่คือค่อยๆ ก้าวไปสู่ความเข้าใจความหมายของอนัตตากับธรรม สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นอนัตตา ต้องตรง พอไม่รู้ เผลอไป ก็เป็นเราอีกแล้ว เพราะฉะนั้น จึงทรงแสดงหนทางที่จะไม่ให้เผลอ คือ เมื่อสติสัมปชัญญะเกิดรู้ลักษณะที่เป็นอนัตตา ก็ค่อยๆ เข้าใจสิ่งนั้นว่าเป็นอนัตตา จนกว่าจะถึงความสมบูรณ์ คือการประจักษ์แจ้งความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมนั้นๆ

    ก็ไม่ยากเลย ตัวเราทั้งหมดเลย มีชื่อใหม่ๆ เท่านั้นเอง แต่ว่าชื่อนั้นเรียกอย่างอื่นก็ได้ ไม่เรียกอย่างนี้ก็ได้ แต่ว่าให้เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ แต่ว่าจำเป็นต้องใช้ชื่อ เราจะได้ไม่สับสน ให้รู้ว่า เป็นสภาพธรรมอะไร


    หมายเลข 9533
    20 ส.ค. 2567