สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๘๘


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๘๘


    ผู้ฟัง ขอถามท่านอาจารย์อีกเรื่องหนึ่งค่ะ เวลาเรามาทำบุญ แล้วญาติพี่น้องที่ได้ตายไปแล้ว แล้วเรามาทำเพื่อจะแผ่บุญกุศลไปให้ เขาจะได้รับไหมคะ

    ท่านอาจารย์ แผ่อะไรไปคะ แล้วบุญเป็นอย่างไรที่จะแผ่ไป ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ ใช่ไหมคะ บุญคืออะไร ก่อนอื่น ถ้ายังไม่รู้ว่าบุญคืออะไร เราก็ไปติดปัญหานี้อีก ใช่ไหมคะ บุญคืออะไรคะ

    ผู้ฟัง บุญคือการกระทำความดี

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ขณะนั้นเป็นเราหรือเปล่าคะ ต้องย้อนกลับมาหาปรมัตถธรรมทุกครั้งเลย เพื่อเราจะได้เข้าใจขึ้น ถ้าเราละเลยปรมัตถธรรม ก็ยังมีความเป็นเรา และความไม่รู้อยู่นั่นแหละ พอมีเรา ก็มีความไม่รู้ติดตามมา แต่ถ้าไม่มีเรา แต่มีธรรม คือจิต เจตสิก รูป ความรู้ของเราจะเพิ่มขึ้น เพราะเรารู้ว่าเป็นจิตหรือเป็นเจตสิกอย่างไร ต้องไม่พ้นจากปรมัตถธรรม เพราะฉะนั้น บุญเป็นปรมัตถธรรมหรือเปล่า มีจริงๆ หรือเปล่า ถ้ามีจริงต้องเป็นปรมัตถธรรม

    ปรมัตถธรรม มี ๔ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่ต้องกล่าวถึงนิพพาน ต่อไปนี้เอาเพียงแค่จิต เจตสิก รูป เพราะฉะนั้น บุญมีจริงใช่ไหมคะ เป็นปรมัตถธรรมอะไร อันนี้จะช่วยมากเลย ที่ทำให้เราเข้าใจชัดเจนขึ้นว่า เมื่อไม่ใช่เรา ลักษณะแท้จริงของสิ่งนั้นคืออะไร ทีนี้จะไม่มีการสับสน ไม่มีการปะปน จะเป็นความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น ชัดเจนขึ้น เมื่อรู้ว่าเป็นปรมัตถธรรม แต่ต้องรู้ว่าปรมัตถธรรมอะไร บุญเป็นรูปหรือเปล่าคะ

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ ไม่เป็น เพราะฉะนั้นเป็นอะไรคะ

    ผู้ฟัง เจตสิก

    ท่านอาจารย์ เป็นเจตสิกฝ่ายดีซึ่งเกิดกับจิตใด จิตนั้นก็เป็นกุศลจิต กุศลจิตกับบุญ ความหมายเหมือนกันเลย เป็นจิตที่ดีงาม ไม่เป็นโทษ เพราะว่าจิตเป็นสภาพรู้ ประกอบด้วยเจตสิกฝ่ายดีทั้งนั้นเลยในขณะที่กระทำสิ่งที่ดี เพราะฉะนั้น เราจะอุทิศส่วนกุศล ความดีที่เราได้ทำเพื่อให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วที่สามารถจะรู้ได้ เกิดกุศลจิตอนุโมทนา ยินดีด้วยในสิ่งที่เราได้กระทำความดีนั้น แล้วอุทิศให้เขา แต่ว่าขึ้นอยู่กับเขาว่า เขาจะยินดีหรือไม่ยินดี แม้แต่เป็นมนุษย์ รู้ว่าใครทำบุญ ยินดีกับคนที่ทำบุญด้วยหรือเปล่า หรือเฉยๆ เวลาเห็นใครทำกุศล ยินดีในกุศลที่เขากระทำ ขณะนั้นคืออนุโมทนา

    เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าล่วงลับไปแล้ว ต้องแล้วแต่ว่า เกิดในภพภูมิที่สามารถที่จะรู้ได้ในบุญกุศลที่เราทำอุทิศไปให้ หรือไม่สามารถที่จะรู้ได้ ถ้าเขาไปเกิดเป็นนก ก็ไม่มีทางเลยที่จะรู้ว่า ญาติพี่น้อง หรือว่าเพื่อนฝูง มิตรสหายได้กระทำบุญอุทิศไปให้ แล้วถึงแม้ว่ารู้ ก็ขึ้นอยู่กับว่า เขาเกิดกุศลจิตอนุโมทนาหรือเปล่า ถ้าเขาเกิดกุศลจิตอนุโมทนาเป็นกุศลของเขา เป็นกรรมของเขาซึ่งจะให้ผลกับเขา แต่ถ้าเขาไม่อนุโมทนา หมายความว่ากุศลจิตของเขาไม่เกิด เขาก็ไม่สามารถจะได้ผลของกุศล เพราะว่ากุศลจิตไม่เกิด จิตของใครเป็นเหตุก็ทำให้เกิดผล ไม่ใช่ไปเอาจิตของคนอื่นมาทำให้เกิดผลกับจิตของเรา

    ถ้าเป็นเหตุดี จะนำมาซึ่งผลดี ถ้าเป็นเหตุไม่ดี ก็ต้องนำมาซึ่งผลไม่ดี ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเหตุ เพราะฉะนั้น ก็เป็นที่น่าสนใจว่าเหตุที่ดีมีอะไรบ้าง โดยเหตุปัจจัยที่แสดงไว้ ได้แก่ เจตสิก ๖ คือ โลภเหตุ โทสเหตุ โมหเหตุ เป็นอกุศลเหตุ อโลภเหตุ อโทสเหตุ อโมหเหตุ เป็นกุศลเหตุ เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ถึงเหตุที่ต่างกัน ถ้าเหตุที่ไม่ดีจะนำมาซึ่งผลที่ดี ก็เป็นไปไม่ได้ ไม่ตรง แล้วก็ถ้าผลที่ดี ไม่ต้องอ้อนวอน ไม่ต้องขอร้อง ผลที่ดีก็ย่อมเกิด หรือว่าถ้าได้กระทำผลที่ดีแล้ว อ้อนวอนขอร้องว่า อย่าให้ผลที่ดีเกิดขึ้น ให้ผลที่ไม่ดีเกิดขึ้น ก็เป็นไปไม่ได้ หรือว่าเวลาที่ทำเหตุที่ไม่ดี แล้วไปอ้อนวอนขอร้องว่า ขอให้ผลที่ดีเกิดขึ้นก็ไม่ได้ ข้อนี้ที่ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎกว่า ต้องแล้วแต่เหตุ

    เพราะฉะนั้น ทุกคนก็พิจารณาได้ ธรรมเป็นธรรม ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ที่จะไปเปลี่ยนแปลงสภาพธรรมได้ แล้วก็ต้องพิจารณาโดยละเอียด จึงสามารถที่จะเข้าใจได้ ทุกอย่าง ไม่ใช่ขัดกัน

    คนตาบอด เขาขอให้เขาตาบอดหรือเปล่าคะ

    ผู้ฟัง คงไม่มีใครอยากจะขอตาบอดหรอกค่ะ

    ท่านอาจารย์ แต่เจตนาครั้งหนึ่งที่ประสงค์ที่จะให้บุคคลอื่นตาบอด มีไหมคะ คนที่เจตนาอย่างนี้ อยากให้คนอื่นเป็นทุกข์ อยากให้คนอื่นพลัดพรากจากสมบัติ เผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่าง มีความหวังร้ายต่อกัน แล้วก็กระทำกรรม แม้แต่ยิงนก แล้วก็ทะลุเข้าไปในตา ขณะนั้นมีเจตนาที่จะกระทำแม้เพียงเพื่อความสนุก เพื่อความชำนาญว่า ตัวเองเป็นผู้ที่มีความชำนาญมาก สามารถที่จะยิงตานกทะลุได้ เจตนาอย่างนั้น หวังที่จะให้ตานกทะลุ แต่ผลคือใคร วันหนึ่งเมื่อกรรมนั้นสุกงอมที่จะให้ผล กรรมก็ไม่ทำให้จักขุปสาทรูปเกิด คนนั้นก็ตาบอด เขาไม่ต้องขอเลยว่า เขาอยากให้เขาตาบอด แต่การกระทำของเขานั่นเองเป็นเหตุที่จะทำให้เขาตาบอดได้ ฉันใด ทางฝ่ายกุศลก็เช่นเดียวกัน เวลาที่มีความหวังดี ความปรารถนาดีต่อบุคคลอื่น ขณะนั้นต้องเป็นอโลภะ อโทสะ อโมหะ เป็นธรรมฝ่ายดี เมื่อธรรมฝ่ายดีสำเร็จลงไปก็ย่อมนำมาซึ่งผลในวันหนึ่ง

    เพราะฉะนั้น การที่เราจะรู้ว่า ผลที่เราได้รับมาจากอะไร หรือว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้จะให้ผลอย่างไร เป็นสิ่งซึ่งเราไม่มีปัญญาซึ่งสามารถจะรู้ได้เลย แต่สามารถจะพิจารณาเหตุผลได้ เพราะว่ากรรมเป็นสภาพที่ปกปิด เรากำลังนั่งฟังพระธรรม สนทนาธรรมขณะนี้ เราสามารถจะรู้ได้ไหมคะว่า กรรมนี้จะให้ผลเมื่อไร ไม่สามารถที่จะรู้ได้ แต่มีเหตุที่ได้กระทำแล้ว

    เพราะฉะนั้น ผลก็คือว่า มีความสนใจ มีความศรัทธาที่จะได้ฟังในเหตุในผลของพระธรรมต่อไป เมื่อมีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังก็ฟังอีก นี่ก็เป็นเรื่องของการสั่งสม เพราะฉะนั้น ทุกอย่างแล้วแต่เหตุทั้งนั้น ถ้าไม่มีเหตุ ผลนั้นๆ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย แต่ต้องมีเหตุ ผลจึงจะเกิดขึ้นได้ แม้แต่กรรมวันนี้ที่ได้ทำ ก็ยังไม่รู้ว่าจะให้ผลเมื่อไร และขณะนี้อะไรเป็นผลของกรรม เรารู้หรือยังคะ

    ผู้ฟัง ยังไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ยังไม่รู้ แต่วันนี้มีผลของกรรมตลอดทั้งวัน โดยที่เราไม่รู้เลยว่า เป็นผลของกรรมอะไร เพราะฉะนั้น ก็น่าสนใจว่า ทุกคนเกิดมาต้องมีจิตเจตสิกเป็นผลของกรรมที่ได้ทำไว้ เพราะฉะนั้น การเกิดในโลกนี้ เราก็มองเห็นว่า มีความต่างกัน เกิดเป็นสัตว์ มีไหมคะ ไม่มีขาเลย เป็นงู หรือว่ามีขาเยอะๆ เป็นกิ้งกือ หรือว่าจะมีปีกเป็นผีเสื้อ แม้แต่ปีกผีเสื้อก็ยังวิจิตรมาก จะเห็นความวิจิตรของการกระทำกรรมแต่ละกรรม ซึ่งทำให้ผลเกิดขึ้น ถ้าเป็นมนุษย์ก็หลากหลายเหลือเกิน ทั้งๆ ที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ไม่ต้องเกิดในนรก ไม่ต้องเกิดเป็นเปรต ไม่ต้องเกิดเป็นอสุรกาย ไม่ต้องเกิดเป็นเดรัจฉาน เป็นมนุษย์ที่พิการก็มี หรือว่าเป็นใบ้ ตาบอด หูหนวกตั้งแต่กำเนิดก็มี ก็แสดงให้เห็นถึงว่า สัตว์โลกเป็นที่ดูผลของบุญ และบาป และเป็นที่ดูบุญ และบาปต่อไปอีก


    หมายเลข 9534
    20 ส.ค. 2567