ชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย มีทั้งวิบาก และมีทั้งกรรม


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๘๙


    ท่านอาจารย์ เราก็ควรที่จะทราบว่า ชีวิตของเราตั้งแต่เกิดจนตายมีทั้งวิบากซึ่งเป็นผลของกรรมในอดีต และมีทั้งกรรมซึ่งจะเป็นเหตุที่จะให้เกิดวิบากข้างหน้าด้วย ตั้งแต่ปฏิสนธิ คือ จิตขณะแรกที่สืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน กรรมหนึ่งให้ผล เราทุกคนทำกรรมไว้มากหลากหลาย แม้ในชาตินี้ใครจำได้ไหมคะว่าทำกรรมอะไรไว้แล้วบ้าง ทั้งกุศลกรรม และอกุศลกรรม เยอะมากใช่ไหมคะ เราก็จำได้เฉพาะกรรมที่เราเพิ่งจะกระทำ แต่กรรมตั้งแต่เป็นเด็ก เติบโตเรื่อยมา มีกรรมอะไรที่เราได้กระทำแล้วบ้าง แต่สิ่งต่างๆ เหล่านั้นไม่สูญหาย พร้อมที่กรรมหนึ่งเมื่อเราจากโลกนี้ไป จะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ถ้ายังไม่เป็นพระโสดาบันบุคคล ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรม ก็มีโอกาสที่จะเกิดในอบายภูมิได้ อย่างม้ากัณฐกะ คงรู้จักใช่ไหมคะ คุณทศพรคะ ม้ากัณฐกะเป็นใครคะ

    ผู้ฟัง เป็นม้าครับ เป็นม้าที่พระโพธิสัตว์ ตอนที่จะออกมหาภิเนษกรมณ์ ก็ได้ทรงม้ากัณฐกะนี้ออกมหาภิเนษกรมณ์

    ท่านอาจารย์ ม้ากัณฐกะเมื่อจุติคือตายแล้วเกิดเป็นเทพบุตร ลงมาเฝ้า ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคล เพราะฉะนั้น ไม่มีการรู้เลยว่า กรรมใดจะให้ผล ถ้ายังไม่เป็นพระอริยเจ้า ก็มีโอกาสที่จะเกิดในอบายภูมิได้ แต่เมื่อเป็นพระอริยบุคคลเมื่อไร ก็ไม่เกิดในอบายภูมิต่อไป เพราะฉะนั้น การรับผลของกรรมหนึ่งทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นเป็นเราชาตินี้ ซึ่งจะเป็นเราชาตินี้อีกนานเท่าไร ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ว่า กรรมจะสิ้นสุดที่จะทำให้พ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้เมื่อไร อย่างที่ภาษาไทยเราใช้คำว่า “ถึงแก่กรรม” คือ ถึงการสิ้นสุดของกรรมที่จะให้เป็นบุคคลนี้อีกต่อไป จะกลับมาเป็นคนนี้อีกไม่ได้เลย ชาติหนึ่งก็ชาติหนึ่ง เหมือนอย่างที่ทรงแสดงอดีตชาติของพระองค์แต่ละพระชาติว่า เคยเป็นอะไร เมื่อไร อย่างไร รวมทั้งอดีตชาติของพระสาวกทั้งหลายด้วย ว่าท่านเหล่านั้นก่อนที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ท่านสะสมบุญพร้อมปัญญาที่จะเข้าใจสภาพธรรมมานานแสนนาน จนกระทั่งได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมในสมัยพระผู้มีพระภาคพระองค์นี้

    เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า เรารับผลของกรรมตั้งแต่เกิด จิตขณะแรกที่เกิดเป็นผลของกรรม แล้วก็ตอนเกิดขณะแรกซึ่งเป็นนามธรรม มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย สั้นมาก จะรู้ไหมคะว่า จิตปฏิสนธิจะประกอบด้วยรูปอะไร เพราะว่ากรรมทำให้รูปเกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิต เพราะฉะนั้น การที่จะเป็นรูปมนุษย์ ค่อยๆ เติบโตขึ้นจนกระทั่งปรากฏเป็นรูปมนุษย์ ถ้าเป็นรูปช้าง ในขณะที่เพิ่งเกิดก็ต้องเล็กนิดเดียวเหมือนกัน แล้วก็ค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้นตามกรรมที่ทำให้ธาตุไฟที่เกิดพร้อมปฏิสนธิจิตทำให้รูปร่างต่างกัน

    เพราะฉะนั้น เราจะสูงต่ำดำขาวอย่างไร รูปนี้ก็เป็นผลของกรรม แต่ถ้าพูดถึงวิบาก ต้องเป็นนามธรรม คือ จิต เพราะว่าเป็นสภาพรู้ เราจะสุขจะทุกข์เพราะนามธรรม เพราะจิต และเจตสิกรู้อารมณ์ที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง รูปไม่รู้อะไรเลย รูปจะสวยจะงาม จะไม่สวยไม่งามอย่างไร รูปก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะว่ารูปไม่ใช่สภาพรู้ แต่จิต และเจตสิกซึ่งเป็นสภาพรู้เป็นวิบาก คือเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว

    เพราะฉะนั้น จิตจึงต่างออกไปเป็น ๔ ชาติ หมายความว่าจิตเกิดขึ้นเป็นกุศล ๑ เกิดขึ้นเป็นอกุศล ๑ ซึ่งเป็นเหตุ แล้วก็เกิดขึ้นเป็นวิบาก เป็นผลของกุศล และอกุศล ๑ แล้วก็เป็นกิริยาจิตซึ่งส่วนใหญ่เป็นของพระอรหันต์ คือ ไม่ใช่ทั้งกุศล และไม่ใช่อกุศล เพราะเหตุว่าถ้ายังเป็นกุศล อกุศลอยู่ ก็ต้องเกิด แต่พระอรหันต์ไม่เกิดอีกเลย ดับเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดหมด เพราะฉะนั้น กิริยาจิตส่วนใหญ่ก็เป็นของพระอรหันต์

    เพราะฉะนั้น เราก็ทราบว่า ตอนเกิดก็เป็นผลของกรรม แล้วก็ยังไม่ได้ตาย ยังตายไม่ได้ ก็เป็นผลของกรรม การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส กรรมทำให้มีจักขุปสาทสำหรับกระทบสิ่งที่ปรากฏทางตา ทำให้มีโสตปสาทสำหรับกระทบเสียง ทำให้มีฆานปสาทกระทบกลิ่น ทำให้มีชิวหาปสาทกระทบรส ทำให้มีกายปสาทซึมซาบอยู่ทั่วตัวสำหรับกระทบกับเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว ซึ่งจะทำให้เกิดสุขเวทนาหรือทุกขเวทนา นี่เป็นผลของกรรม

    เพราะฉะนั้น เราสามารถที่จะเข้าใจตัวเราแต่ละขณะว่า ขณะใดที่ได้รับอารมณ์ที่ดี รู้อารมณ์ที่ดีทางหนึ่งทางใดใน ๕ ทาง ขณะนั้นเป็นผลของกุศล ไม่ต้องไปคิดถึงชาติไหนทำอะไรไว้ เพราะว่าชาติก่อนเหมือนประตูที่ปิดสนิทเลย พอปิดสนิทแล้วก็ไม่สามารถที่จะมองผ่านเข้าไปในห้องนั้นได้ฉันใด โลกที่เราจากมา ชาติก่อนที่เราจากมา เมื่อจุติจิตทำให้เคลื่อนพ้นข้ามสภาพความเป็นบุคคลนั้นมาสู่ความเป็นบุคคลนี้ ก็ไม่สามารถที่จะย้อนไปถึงอดีตได้ว่า เราทำกรรมอะไร แต่ขณะใดที่เห็นดี ได้ยินดี ได้กลิ่นดี ลิ้มรสดี รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสดี ก็เป็นผลของกุศลที่ได้กระทำแล้ว สามารถที่จะรู้ได้ใช่ไหมคะ เวลาวิบากเกิด ผลของกรรมเกิดก็ต้องมาจากเหตุที่ดี ถ้าเห็นไม่ดี ได้ยินไม่ดี ได้กลิ่นไม่ดี ลิ้มรสไม่ดี รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสไม่ดี ก็เป็นผลของอกุศลกรรมที่ได้ทำแล้ว เราก็สามารถที่จะรู้เพียงคร่าวๆ ในเรื่องของกรรม และผลของกรรม ขณะนี้ วันนี้ มีใครพ้นผลของกรรมบ้าง ไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่มีใครพ้นผลของกรรมได้

    ท่านอาจารย์ ไม่มีใคร ขณะเห็นเป็นผลของกรรมแล้ว ขณะได้ยินก็เป็นผลของกรรมแล้ว แต่เราไปคิดถึงผลใหญ่ๆ ได้ลาภหรือว่าเสื่อมลาภ อุบัติเหตุ ป่วยไข้ เราไปคิดถึงตอนนั้น แต่แม้ตอนนี้ทุกขณะที่เห็นก็เป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ เป็นผลของกรรมครึ่งหนึ่ง แล้วก็เป็นเหตุใหม่ที่จะทำให้เกิดผลข้างหน้าอีกครึ่งหนึ่ง เพราะเห็นแล้วคนที่ยังทีกิเลสก็มีโลภะบ้าง มีโทสะบ้าง มีโมหะบ้าง หรือว่ากุศลจิตเกิดบ้าง ก็แล้วแต่ มีทั้ง ๒ อย่าง ทั้งฝ่ายกุศล และอกุศล


    หมายเลข 9535
    21 ส.ค. 2567