เป็นธรรมเท่านั้น เป็นธรรมหรือยัง
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๙๐
คุณศุกล เมื่อเช้านี้ในห้องอาหารได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับคุณหมอเพิ่ม หมอเพิ่มบอกว่า ผมได้มีโอกาสสนทนากับท่านอาจารย์สุจินต์ ผมได้ความรู้อีกมากเลย ผมก็ถามว่าได้อะไรมาบ้าง มาแบ่งกันบ้างสิ บอกว่า พูดถึงเรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตา หมอก็บอกว่า ทุกสีที่ปรากฏทางตา ถ้าไม่มีการคิดนึก ก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ
ท่านอาจารย์ เรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตาก็จริงมากเลย แต่เราไม่คุ้นเคยกับการที่จะรู้ว่าเป็นธรรมเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ก็ไม่ต้องไปคำนึงถึงสีสันวัณณะอะไรเลย เพราะว่าโดยมากจะพูดว่า ภูเขาโน้น เพราะตอนนั้นเรานั่งรถมา แล้วก็เห็นภูเขา มันก็อยู่ไกล ใช่ไหมคะ ทีนี้เวลาที่คิดถึงภูเขา มันก็เป็นภูเขาแล้ว แต่ทีนี้ถ้าเราไม่สนใจ มันจะเป็นอะไรก็ช่าง แต่ขณะนี้เริ่มที่จะรู้ว่า เป็นธรรมเท่านั้น เป็นธรรมหรือยังคะคุณศุกล สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา รู้ว่าเป็นธรรมอย่างหนึ่ง เพราะเหตุว่าธรรมเราไม่ต้องเรียกชื่อก็มี เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เราก็ไม่ต้องเรียกชื่อแล้วก็มีแล้ว กำลังปรากฏแล้ว ก็ให้เข้าใจตามความเป็นจริงว่า ขณะนี้สิ่งที่เราเคยยึดถือเป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ จากสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็คือสิ่งที่เป็นธรรม มีจริง กำลังปรากฏ เท่านั้นเอง
คุณศุกล ครับ ทีนี้ก็จะขอถามต่อนิดหนึ่งว่า แม้ไม่ปรากฏจะเป็นธรรมไหมครับ
ท่านอาจารย์ แล้วขณะนั้นจิตรู้อะไร เวลาที่ไม่ปรากฏ จิตรู้อะไร
คุณศุกล ยังไม่มีจิตรู้ครับ
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ จิตต้องเกิดอยู่ตลอดเวลา
คุณศุกล เพราะฉะนั้น ความหมายของคำว่า ธรรมคือจิต ขณะที่จิตรู้ความหมาย จึงกล่าวว่าสิ่งที่ปรากฏนั้นเป็นธรรม
ท่านอาจารย์ เพราะว่าเราเคยได้ยินว่า ทุกอย่างเป็นธรรม แค่นี้ค่ะ เราก็เว้นไม่ได้แล้ว ต้องทุกอย่างจริงๆ เพราะฉะนั้น ถ้าถามถึงสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็คือขณะนี้ มีจริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่เป็นธรรมด้วย คือไม่เรียกชื่อก็มี พอลืมตาขึ้นมาก็ไม่ต้องเรียกชื่อแล้ว ก็มีสิ่งที่ปรากฏเท่านี้เอง แต่ก่อนเคยเป็นเรื่องเยอะ วิธีนี้เหมือนกับลบเรื่องกับคนออกจากสิ่งที่ปรากฏ เพราะว่าเวลาที่มีความคิดเรื่องคนต่างๆ สิ่งต่างๆ ก็เพราะคิด แต่ว่าตัวธรรมแท้ๆ คือตัวสิ่งที่ปรากฏ ก็คืออย่างนี้เอง ไม่เอาความคิดเข้ามาปะปนเลยทั้งสิ้น สีสันวัณณะ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา แม้ไม่เรียกชื่ออะไรก็กำลังปรากฏอย่างนี้
เพราะฉะนั้น เราเคยไปจำไว้หมดเลยว่า ทางตามีอะไรทุกอย่าง มีสุนัข มีอะไรๆ อย่างนี้ ก็คือวิธีที่จะเข้าใจคือลบความเป็นทุกอย่างที่มีอยู่ในนั้นเพราะคิดออก ก็จะเข้าใจได้ถูกต้องว่า ขณะนี้ก็มีจริง เป็นธรรมเพราะปรากฏ ให้เข้าใจตรงกับที่เราเคยได้ยินได้ฟัง เป็นสิ่งที่ปรากฏ แม้ไม่เรียกชื่อ ก็ค่อยๆ รู้ตาม ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ว่า เป็นสิ่งที่ปรากฏ แม้ไม่ต้องเรียกชื่อ เพราะฉะนั้นก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง
คุณศุกล แล้วมีคำเตือนที่ท่านอาจารย์บอก มีความต้องการ มีความอยากอะไรต่อท้าย มันเกี่ยวข้องอะไรกับการเห็นแต่ละครั้ง การได้ยินแต่ละครั้งครับ
ท่านอาจารย์ พอได้ยินอย่างนี้ บางคนก็อาจจะเริ่มทำ จำกัดขอบเขตบ้าง อะไรบ้าง แล้วแต่ เพราะว่ามีคนที่ฟังอยู่ด้วย แล้วคนนั้นก็ถามว่า แล้วต่อจากนี้เราจะคิดอย่างนี้ใช่ไหม คือไม่ใช่เป็นกฎเกณฑ์ที่ต่อจากนี้ไปให้คิดอย่างนี้ แต่ความเข้าใจในขณะกำลังฟังเดี๋ยวนี้ เอาความเข้าใจจริงๆ ว่า ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ แม้ไม่เรียกชื่อก็เป็นธรรมชนิดหนึ่ง เอาเข้าใจตอนนี้ แล้วต่อจากนี้ไป ถ้าเกิดนึกขึ้นได้ว่า แท้ที่จริงสิ่งที่ปรากฏก็คือแค่นี้แหละ ก็แค่สิ่งที่กำลังปรากฏ ให้เข้าใจในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ส่วนการที่เราคิด เราจำรูปร่างสัณฐาน มีอะไรในสิ่งที่ปรากฏบ้าง เหมือนกับกระจกเงา มีทุกอย่างในกระจกเงา อย่างที่วัด โต๊ะ เก้าอี้ ผู้คนก็เข้าไปอยู่ในกระจกเงาหมด เพราะมีกระจกเงาทั้งแถบเลย แต่มีอะไรในกระจกเงาบ้าง
คุณศุกล มีเห็น
ท่านอาจารย์ แล้วอะไรอีกคะ
คุณศุกล แล้วก็ทุกอย่างที่ปรากฏอยู่ในกระจก
ท่านอาจารย์ แล้วมันมีตัวจริงๆ เหมือนอย่างข้างนอกกระจกเงาหรือเปล่า
คุณศุกล ถ้าถามถึงตัวจริงก็คงไม่มี เพราะไม่มีคนเข้าไปอยู่จริงๆ ครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วก็คือว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาล้วนๆ ก็คือเพียงสิ่งที่ปรากฏ ต้องแยกออกจากแข็ง จากอย่างอื่นที่เป็นคน เป็นสัตว์ แล้วก็รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏ ทางตาก็เป็นสภาพธรรมที่แม้ไม่เรียกชื่อก็ปรากฏ