การศึกษาอย่างเยอะๆ แยะๆ เกี่ยวข้องอะไรกับขณะนี้


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๙๑


    คุณศุกล ทีนี้เมื่อเป็นการเริ่มต้นของการฟังพระธรรม ถ้าสมมติว่าเป็นการให้ความรู้ อย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวมาอย่างนี้กับสิ่งที่เราไปเพิ่มเติมการเรียน การศึกษาอย่างเยอะๆ แยะๆ มันเกี่ยวข้องอะไรกับขณะนี้

    ท่านอาจารย์ เกี่ยวข้องคือให้เข้าใจสิ่งนั้นให้เข้าใจถูกต้องยิ่งขึ้น

    คุณศุกล เพราะมันยังไม่ถึง หรือครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่ถึงก็มี

    คุณศุกล แล้วพอพูดถึงสิ่งที่เป็นเครื่องกั้น เป็นเครื่องทำให้ขัดขวาง ไม่สามารถออกไปจากสังสารวัฏฏ์ได้ มันเป็นเรื่องราวทั้งหมดเลย ถามว่าสิ่งทั้งหลายที่เราเรียนมา มันจะมาเกื้อกูลกับเรื่องขณะเดี๋ยวนี้ได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ พูดเท่าไรก็คือมาลงที่เป็นสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ที่เป็นธรรม

    คุณศุกล ถ้าฟังแค่นี้ มันก็รู้สึกว่าไม่ค่อยจะหนักอกหนักใจเท่าไร

    ท่านอาจารย์ ไม่ค่ะ แค่นี้ไม่พอ ความละเอียดมีอีกมากเพื่อเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้เวลาเห็น แล้วก็มีความเข้าใจอย่างนั้นได้

    คุณศุกล ก็เวลานี้ เห็น จะบอกว่าติด ก็ไม่ติด เห็นก็คือว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ เป็นอารมณ์เฉยๆ พอเรียนถึงเรื่องอกุศลเจตสิก ๑๔ มันก็เลยไม่เกี่ยวข้องกับขณะที่กำลังพูดถึงคำว่ากำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ขณะนี้

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าการที่ได้ฟังว่า เป็นสิ่งที่ปรากฏ กับการรู้ว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏ ห่างไกลกันไหม เพียงฟังว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏแล้วเข้าใจ กับการที่เมื่อสติเกิด ก็รู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ๒ ตอนนี้ห่างกันไหม

    คุณศุกล ต้องห่างกันแน่

    ท่านอาจารย์ นั่นก็คืออาศัยการฟังแล้วฟังอีก จนกว่าจะเป็นสังขารขันธ์พอที่จะให้ไม่ยึดถือสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นอกจากเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ หลังจากนั้นก็เป็นการคิดนึก คล้ายๆ กับว่าสิ่งที่มีอยู่ ทำอย่างไรถึงจะได้มาปรากฏ ทำอย่างไรถึงจะได้รู้ได้เข้าใจ แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้นเลย ฟังอย่างนี้ไปอีกนานเท่าไรก็ได้ เพื่อที่จะให้เป็นการปรุงแต่งให้เวลาเห็น แม้ขณะนี้ ก็เป็นเพียงสิ่งที่กำลังปรากฏ ค่อยๆ ระลึกได้ ค่อยๆ จำได้ เป็นสัญญาความจำที่มั่นคงขึ้นว่า ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น

    ถ้าเราไม่ใส่ใจ ก็มีเสียงแล้ว ใช่ไหมคะ ถ้าเราไม่ใส่ใจสักอย่าง สภาพธรรมเขาก็ปรากฏตามความเป็นจริงของเขาอย่างนั้น แต่เพราะความใส่ใจมากั้นมาขวาง ก็มีเรื่องมีราว มีความจำในสิ่งนั้น ต่างๆ แล้วเวลาเสียงปรากฏก็ไม่เคยรู้ว่า เป็นเพียงสภาพธรรมที่เหมือนกับสิ่งที่ปรากฏทางตา คือ มีจริงแล้วก็ปรากฏ แต่ปรากฏทางหู คนละลักษณะกับสิ่งที่ปรากฏทางตา ธรรมก็ต้องเป็นอย่างนี้ จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นี่ขั้นฟัง แต่การที่จะรู้จริงๆ ไม่ใช่เพียงขั้นฟัง ก็มีหนทางว่า เพราะขณะนั้นมีสติสัมปชัญญะเกิด รู้ตามคือรู้อยู่ที่ลักษณะนั้นทีละอย่างๆ จนกว่าจะทั่ว จนกว่าปัญญาจะรู้เพิ่มขึ้น ไม่มีวิธีอื่น

    คุณศุกล หลังจากที่รู้ความจริงแล้วก็กลับเป็นปกติอย่างที่ไม่มี

    ท่านอาจารย์ รู้ความจริงนั้นคือเมื่อไร ขณะไหน

    คุณศุกล ขณะที่สติปัฏฐานเกิด

    ท่านอาจารย์ ขณะที่สติปัฏฐานเกิดก็ธรรมดา

    คุณศุกล แล้วก็สติปัฏฐานก็ดับไป สิ่งที่เป็นเรื่องราวบัญญัติก็สืบต่อ

    ท่านอาจารย์ ก็สติปัฏฐานเกิดรู้หรือเปล่าว่า ขณะนั้นก็เป็นสภาพธรรมที่คิด

    คุณศุกล อันนี้ยังไม่เกิด

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องทั่ว ไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่เราไม่เคยรู้ เคยเป็นเราอย่างรวดเร็วสืบต่อกัน ความรู้ก็จะค่อยๆ แทรก ค่อยๆ คั่นว่า ลักษณะแต่ละอย่างเป็นธรรมอย่างไร แล้วเวลาที่สติเกิด เขาก็ระลึกตามปกติ แล้วก็มีลักษณะนั้นปรากฏตามปกติ ให้รู้เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง

    คุณศุกล เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นความเข้าใจของผู้ฟังแต่ละคนว่า ความหมายของคำว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม คือ ธรรมไม่ใช่เป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีเหตุมีปัจจัยเกิดขึ้น เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็พูดเป็นเรื่องเป็นราวต่อไป ไม่ใช่พอเห็นทีไร ก็เป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งอีก

    ท่านอาจารย์ ธรรมมี แม้ปรากฏ อวิชชาก็ไม่สามารถจะรู้ได้ นี่คือความยาก เพราะว่าอวิชชาเยอะ แต่วิชชาสามารถรู้ได้อย่างนี้ ตามที่เป็นจริงอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ระหว่างอวิชชาค่อยๆ จางลง วิชชาเพิ่มขึ้น ความเข้าใจไม่ได้เข้าใจเรื่องอื่นเลย คือเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏนี่แหละ ตามความเป็นจริง คือก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ แล้วถ้าเราไม่มีการจดจ้องต้องการ สภาพธรรมอื่นก็ปรากฏ ก็คือสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง คิดนึกก็คือสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง ทั้งวันก็เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง แต่จะรู้ลักษณะจริงๆ เมื่อสติสัมปชัญญะซึ่งเป็นสติปัฏฐานเกิด ไม่อย่างนั้นก็เป็นเรื่องราว ความเข้าใจเรื่องราวจะเข้าใจสภาพธรรมยังไม่ได้ จนกว่าสติสัมปชัญญะจะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง

    ความยากอยู่ตรงนี้ จากการฟังที่ว่ายากมาก มาถึงการระลึกก็ยากเข้าไปอีก มาถึงปฏิเวธก็ยิ่งยากเข้าไปอีก แต่ก็รู้อย่างนี้ หรือรู้สิ่งที่กำลังปรากฏตามเป็นจริง


    หมายเลข 9537
    20 ส.ค. 2567