รู้โดยตำรา รู้โดยรู้ตาม จะมีประโยชน์เกื้อกูลอย่างไรบ้าง
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๙๔
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ครับ ก็มีสภาพธรรมหลายๆ อย่างที่เกิดร่วมกับจิต ซึ่งเราไม่สามารถจะรู้ได้ บางสิ่งก็จะรู้ได้ ส่วนใหญ่เราก็จะรู้ไม่ได้ จากที่เรารู้ รู้โดยตำรา รู้โดยรู้ตาม และการรู้โดยตำรา ที่เราได้มาจากการศึกษารับฟัง จะมีประโยชน์เกื้อกูลอย่างไรบ้าง เพราะหลากหลายเหลือเกิน
ท่านอาจารย์ เวลานี้มีจิต ใช่ไหมคะ รู้หรือเปล่า แค่จิตซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ก็ยังไม่รู้ แล้วก็เจตสิกที่เกิดร่วมด้วย จะรู้หรือเปล่า ซึ่งความจริงชีวิตของเราเป็นธรรมทั้งหมดเลย ไม่มีสักขณะเดียวที่ไม่ใช่ธรรม เมื่อกี้นี้รับประทานอาหารอร่อยไหมคะ โลภะ ใช่ไหมคะ ต้องทรงแสดงว่า ขณะนั้นเป็นสภาพเจตสิก ไม่อย่างนั้นก็เป็นเรา คือที่เคยเป็นเราทั้งหมดจะออกมาเป็นธรรมแต่ละอย่างๆ ซึ่งมีลักษณะอย่างนั้นๆ แต่เนื่องจากความไม่รู้ แม้แต่ความอร่อย ความติดข้อง ก็เป็นเรา แต่ท่านบอกว่าเป็นโลภะ เราก็รู้จักชื่อโลภะ แต่ไม่ใช่ว่ารู้จักชื่อโลภะ แล้วไปหาว่าเมื่อไร แต่กำลังอร่อยๆ ในลักษณะของความติดข้อง ความเพลิดเพลิน สุขเวทนา หรือโสมนัสเวทนา ทรงแสดงไว้หมดเลย แม้แต่ความรู้สึกทั้งวันที่มี เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวกังวล อย่างได้ยินเรื่องราวอุบัติเหตุหรืออะไรต่างๆ ความรู้สึกของเราก็เป็นอย่างหนึ่ง พอได้ยินเรื่องราวที่น่ายินดีด้วย เราก็เกิดความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง ทั้งหมดทรงแสดงว่า เป็นธรรม แล้วก็เป็นเจตสิกซึ่งเกิดกับจิต แล้วไม่ใช่เรา แล้วก็มีลักษณะต่างกัน คือ สุขเวทนาเป็นอย่างนั้น โสมนัสเป็นอย่างนี้ ทั้งวันเป็นสภาพธรรมทั้งหมด ถ้าสติปัฏฐานเกิดรู้ ก็จะรู้ว่ามีลักษณะจริงๆ ลักษณะของโทสะก็เป็นอย่างหนึ่ง ลักษณะของความติดข้องก็เป็นอย่างหนึ่ง ลักษณะของความรู้สึก ทุกวันขณะนี้เดี๋ยวนี้เป็นสภาพธรรมทั้งนั้น กำลังรู้แข็ง สภาพรู้ก็มี แต่เป็นเรา เคยเป็นเรา แต่พระองค์ทรงแสดงว่า เป็นธาตุ เป็นธรรมชนิดหนึ่งซึ่งมีจริงๆ เกิดขึ้นแน่นอน จึงได้ปรากฏ ถ้าไม่เกิดจะปรากฏไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่ปรากฏเกิดแล้วปรากฏ แค่นี้เราก็ไม่รู้ เราจะไปรู้อะไรอีกตั้งเยอะแยะที่เราอยากจะรู้ ก็ต้องเริ่มรู้ตั้งแต่ทุกอย่างเป็นธรรมให้มั่นคงจริงๆ ว่า ไม่มีอะไรเลยซึ่งไม่ใช่ธรรม เพราะมีจริง แล้วมีจริงเมื่อไร มีจริงเมื่อเกิดจึงปรากฏ ถ้าไม่เกิด จะว่าจริงไหมคะ เพราะทุกอย่างจริงชั่วขณะที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิด แล้วสิ่งนั้นดับ แล้วสิ่งนั้นจะไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น จะเป็นอันเก่ากลับมาไม่มีเลย ตลอดชีวิตของเรา ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีอันเก่าสักอันเดียว สิ่งใดที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย แต่ว่าเป็นธรรมแต่ละอย่าง
เพราะฉะนั้น เราจึงสามารถที่จะเข้าใจได้ว่า ธรรมมีจริง เมื่อไร เมื่อเกิดจึงปรากฏ แล้วปรากฏก็นิดเดียวก็หมดแล้ว แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย สิ่งที่เกิดก็คือใหม่อีก ใหม่อีกๆ ตลอด เกิดเพื่อที่จะดับ ไปๆ ๆ ๆ ตลอด ถ้าเราไม่รู้ว่า เป็นธรรม เราพยายามจะไปรู้โน้น รู้นี่ แม้แต่นามธรรมกับรูปธรรมซึ่งต่างกัน อันนี้ต้องรู้ก่อน ไม่ใช่ว่าเราจะรู้ความต่างของนามธรรม และรูปธรรม แล้วเราจะไปรู้เจตสิกนั้นเจตสิกนี้