อนุสัยไม่เกิด ถ้าเกิดแล้วเป็นปริยุฏฐานะ


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๙๕


    ผู้ฟัง ที่พูดว่าทุกอย่างที่เป็นสังขารธรรม เกิดแล้วต้องดับ แต่เหมือนกับอนุสัย เกิดแล้วไม่ได้ดับ

    ท่านอาจารย์ อนุสัยไม่เกิด ถ้าเกิดแล้วเป็นปริยุฏฐานะ มีปัจจัยจึงเกิดเป็นปริยุฏฐานะ

    ผู้ฟัง สภาพที่มันมีอยู่จะเรียกว่าอะไร

    ท่านอาจารย์ เรียก “อนุสย” เพราะว่าเป็นปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น มีอยู่ในจิตเลย ใช้คำว่านอนเนื่อง สิ่งที่มีอยู่ในจิต อย่างเจตสิก เจ ตะ สิ กะ เป็นสภาพธรรมที่เกิดในจิต หรือว่าเกิดกับจิต หรือประกอบกับจิต หมายความว่ามีจิตที่ไหนต้องมีเจตสิกที่นั่น แต่ลองคิดถึงวัตถุ วัตถุที่ละเอียดมากๆ ทรายที่ละเอียดแล้วอยู่ปนกันหมด ตำให้ละเอียดยิบเลย ตำทรายที่ละเอียดให้ละเอียดยิบเลย เราจะแยกได้ไหมว่า อันไหนเป็นทรายสีเขียว สีฟ้า สีแดง สีเหลือง ถ้าละเอียดยิบตำหมดแล้ว ก็ยังเป็นรูปธรรม หรือแกงเผ็ด แกงคั่ว พวกนี้มีพริก กะปิ หอม กระเทียม ตระไคร้ ข่า แล้วเวลาที่เราตักแกงขึ้นมาทาน เราสามารถที่จะรู้ไหม อันไหนเกลือ อันไหนพริก อันไหนกะปิ อันไหนกระเทียม นี่คือรูปธรรม แต่นามธรรม หมอลองคิดดูสิ ละเอียดยิ่งกว่านั้นสักแค่ไหน ถ้าจะเข้าใจแม้แต่พยัญชนะที่ทรงใช้ หมายความถึงธาตุชนิดหนึ่ง ธาตุหรือธรรม หมายความถึงสิ่งที่มีจริง แต่ธาตุนี้น่าอัศจรรย์มาก ไม่มีรูปร่าง ไม่มีสีสัน ไม่มีอะไรเลย สักอย่างที่จะเป็นรูปธรรมได้ แม้อย่างละเอียดก็ไม่ใช่รูปธรรมอย่างละเอียด แต่ธาตุนี้ เมื่อเกิดแล้วต้องรู้ เป็นธาตุรู้ สามารถรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด นี่คือจิต แล้วยังมีเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยหลายอย่างกับจิต ๑ ขณะ แล้วจะแยกจิตกับเจตสิกออกได้ไหม ในความเป็นนามธาตุ แต่ทรงแยกว่า จิตไม่ใช่เจตสิก แล้วจิต ๑ จะมีเจตสิกประกอบร่วมด้วยเท่าไร

    เพราะฉะนั้น เวลาที่หมอคิดถึงนามธาตุซึ่งมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย หมายความว่าเกิดแล้ว เจตสิกเหล่านั้นเกิดขึ้นทำงาน อย่างเวลาที่เป็นโลภะ ความติดข้อง หมายความว่า โลภเจตสิกเกิดกับจิต ทำให้มีการติดข้อง นั่นคือเกิดแล้ว แต่ที่ไม่เกิด สภาพที่ไม่เกิดที่มีอยู่ในจิตรึกับจิต นั่นคืออนุสัย

    ผู้ฟัง อนุสัยนี้จะเป็นปรมัตถธรรมอะไรคะ

    ท่านอาจารย์ สังขารธรรม แต่เมื่อได้ปัจจัยจึงจะเกิดขึ้นทำกิจการงานหน้าที่เป็นปริยุฏฐานกิเลส เพราะกิเลสมี ๓ ระดับ อุทกดาบสกับอาฬารดาบส ท่านคิดว่าท่านไม่มีกิเลสเลย เพราะท่านไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทราบว่า ทั้ง ๒ ท่านยังมีอนุสัยกิเลส ซึ่งอนุสัยกิเลสจะดับด้วยโสดาปัตติมรรค อริยบุคคลจึงจะดับได้

    เพราะฉะนั้น อย่างเราจะรู้ไหมว่า มีอนุสัย ถ้าไม่ทรงแสดง เราจะรู้ต่อเมื่อโลภมูลจิตเกิด โทสมูลจิตเกิด หมายความว่าเมื่อจิตนั้นมีโทสเจตสิกเกิดร่วมด้วย เรารู้ เวลาที่โมหะ หรือว่าโลภะเกิดกับจิตนั้น เรารู้ แต่เวลาที่อกุศลเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นทำกิจการงาน แต่มีเชื้อที่พร้อมที่ว่า เมื่อได้ปัจจัยเมื่อไรก็เกิดขึ้น พอเจตสิกเหล่านั้นเกิด แล้วก็ทำหน้าที่ของเจตสิก แต่อนุสัยไม่เกิด แต่เป็นพืชเชื้อ ซึ่งถ้าไม่มีอนุสัย คุณหมอลองคิดดู ไม่มีอนุสัย กิเลสมาจากไหน อย่างพระโสดาบัน โสดาปัตติมรรคจิตดับทิฏฐานุสัย พืชเชื้อที่จะให้เกิดความเห็นผิดให้เกิดขึ้น มีความเห็นผิดไม่มี เพราะดับพืชเชื้อของความเห็นผิด เพราะฉะนั้น จิตต่อมาของพระโสดาบันจะไม่มีทิฏฐิเจตสิกเกิดเลย เพราะไม่มีทิฏฐานุสัย แต่ถ้าเราคิดอีกแง่หนึ่ง เราก็คิดได้ ถ้าไม่มีอนุสัย กิเลสต่างๆ จะเกิดขึ้นได้อย่างไร อย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดับอนุสัยหมด พระอรหันต์ทั้งหลายดับอนุสัยหมด ท่านไม่มีกิเลสเลย เพราะดับอนุสัย แต่ถ้าไม่มีอนุสัย จะไปดับอะไร

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์บอกว่ามี แต่ไม่เกิด ไม่ทราบว่า ถ้ามันไม่เกิด มันจะมีได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบ อย่างเรารู้ลักษณะของนามธรรม ซึ่งเป็นใหญ่ เป็นประธาน เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ แต่เราสามารถที่จะรู้ เวลาที่ธาตุรู้มีลักษณะต่างๆ กัน อย่างโลภะ ความติดข้องก็เป็นธาตุรู้ โทสะก็เป็นความขุ่นเคือง ไม่มีรูปร่างเลย แต่มีอาการขุ่นเคืองเกิดขึ้น เป็นลักษณะของนามธรรม และนามธรรมก็ไม่ใช่จิตด้วย เพราะฉะนั้น ทรงแยกนามธรรมซึ่งไม่มีรูปร่างเลยเป็นจิต และเจตสิก

    นี่ก็คือความลึกซึ้งประการหนึ่ง แล้วก็เวลาที่จิตเกิดขึ้นประกอบด้วยเจตสิกอะไรที่ทุกคนสามารถรู้ได้ ทุกคนรู้ได้ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าก็รู้ได้ แต่เมื่อเป็นระดับของอนุสัย คนอื่นรู้ไม่ได้ นอกจากพระพุทธเจ้าจึงรู้หนทางที่จะดับอนุสัย และอนุสัยจะดับได้ต่อเมื่อ โสดาปัตติมรรคจิตเกิด สกทาคามิมรรคจิตเกิด อนาคามิมรรคจิตเกิด อรหัตตมรรคจิตเกิด ดับอนุสัยตามระดับขั้นของความเป็นพระอริยบุคคล ตามกำลังของปัญญา ปัญญาของพระโสดาบันยังดับกามาราคานุสัยไม่ได้ ปฏิฆานุสัยไม่ได้ พระโสดาบันดับได้แต่ทิฏฐานุสัย

    เพราะฉะนั้น ก็จะเข้าใจอนุสัยได้จากการศึกษา และการฟังตาม แต่ไม่ใช่เป็นเราที่จะไปตรัสรู้ โดยที่ว่าแม้อาฬารดาบสไม่รู้ ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ตรัส ก็ไม่มีใครรู้จักอนุสัยแน่นอน แต่ต้องมีอนุสัยอยู่ในจิตที่จะเป็นปัจจัยให้กิเลสชนิดนั้นเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นกิเลสนั้นๆ ก็ไม่เกิด เมื่อดับอนุสัยแล้ว กิเลสเกิดไม่ได้เลย


    หมายเลข 9541
    20 ส.ค. 2567